ตัวเลข ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจีน ประจำเดือนสิงหาคม 2025 ที่เพิ่งประกาศโดย สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ได้สร้างความกังวลระลอกใหม่ให้กับตลาดการเงินทั่วโลก ด้วยตัวเลขการผลิตเหล็กกล้าดิบและถ่านหินที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากมองให้ลึกลงไป การหดตัวครั้งนี้ไม่ใช่สัญญาณของอุตสาหกรรมที่ล้มเหลวโดยธรรมชาติ แต่เป็นผลลัพธ์โดยตรงจากการ “เหยียบเบรก” โดยเจตนาของรัฐบาลปักกิ่ง นี่คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดของภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกครั้งใหญ่ที่ เศรษฐกิจจีน กำลังเผชิญหน้า การพยายามผลักดันวาระ นโยบายสิ่งแวดล้อมจีน ที่ทะเยอทะยาน ไปพร้อมๆ กับการประคับประคองเศรษฐกิจที่กำลังถูกฉุดรั้งอย่างหนักจากวิกฤต ภาคอสังหาริมทรัพย์จีน ที่ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
บทความนี้จะวิเคราะห์เชิงลึกถึงเบื้องหลังตัวเลขสถิติที่น่ากังวล ถอดรหัสการต่อสู้กันระหว่างสองนโยบายหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และประเมินผลกระทบระลอกคลื่นที่กำลังจะส่งไปทั่วโลก จากการตัดสินใจชะลอเครื่องจักรการผลิตของโรงงานโลกแห่งนี้
ตัวเลขที่น่ากังวล ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจีนเดือนสิงหาคมบอกอะไรเรา?
ข้อมูลจาก NBS ที่เผยแพร่ในวันนี้ ระบุว่า
- การผลิตเหล็กกล้าดิบ (Crude Steel) ลดลง 3.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม
- การผลิตถ่านหิน (Coal) ลดลง 2.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สวนทางกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
- การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Investment) เติบโตเพียง 2.9% ในช่วง 8 เดือนแรกของปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว
- ภาคอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงหดตัวในอัตราเลขสองหลัก สะท้อนว่าวิกฤตยังคงลุกลาม
โฆษกของ NBS ได้ให้ความเห็นว่า การปรับลดการผลิตในอุตสาหกรรมหนักเป็นไปตาม “แนวทางการพัฒนาคุณภาพสูง” ของรัฐบาล และเพื่อ “บรรลุเป้าหมายการควบคุมมลพิษประจำปี” แต่นักวิเคราะห์มองว่ามีปัจจัยที่ซับซ้อนกว่านั้น
การต่อสู้สองแนวรบ ‘นโยบายสิ่งแวดล้อม’ ปะทะ ‘วิกฤตอสังหาริมทรัพย์’
ทำไมจีนถึงลดการผลิตเหล็กและถ่านหิน? คำตอบคือรัฐบาลปักกิ่งกำลังพยายามต่อสู้ในสองแนวรบพร้อมกัน ซึ่งเป้าหมายของทั้งสองแนวรบนั้นขัดแย้งกันเองโดยเนื้อแท้
- แนวรบที่หนึ่ง สงครามกับมลพิษและคำมั่นสัญญาต่อโลก
- จีนได้ให้คำมั่นสัญญาต่อประชาคมโลกว่าจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึงจุดสูงสุดก่อนปี 2030 และจะบรรลุ เป้าหมายคาร์บอนเป็นกลาง ภายในปี 2060
- เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ การลดกำลังการผลิตของอุตสาหกรรมที่สกปรกที่สุดอย่างเหล็กและถ่านหินจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในเมืองอุตสาหกรรมหลักอย่างถังชาน ใน มณฑลเหอเป่ย์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งเหล็กกล้าของจีน มักจะถูกสั่งให้ลดการผลิตเป็นประจำเพื่อควบคุมค่าฝุ่น PM2.5
- แนวรบที่สอง การพยุงตลาดเหล็กท่ามกลางวิกฤตอสังหาฯ
- วิกฤตอสังหาริมทรัพย์จีนส่งผลกระทบอะไรบ้าง? ภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างเคยเป็นผู้บริโภคเหล็กรายใหญ่ที่สุดของจีน (คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 40% ของอุปสงค์ทั้งหมด) แต่เมื่อโครงการก่อสร้างหยุดชะงักทั่วประเทศ ความต้องการเหล็กจึงหายไปอย่างมหาศาล
- การปล่อยให้โรงงานผลิตเหล็กเดินเครื่องเต็มกำลังในภาวะที่อุปสงค์อ่อนแอ จะทำให้สินค้าล้นตลาดและฉุดให้ ราคาเหล็ก ตกต่ำลงอย่างหนัก ซึ่งจะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อบริษัทเหล็กกล้าของรัฐที่มีหนี้สินมหาศาล
- ดังนั้น การสั่งลดการผลิตจึงเป็น “ยาขม” ที่รัฐบาลใช้เพื่อพยุงราคาและป้องกันการล้มละลายของรัฐวิสาหกิจ แม้ว่ามันจะหมายถึงตัวเลข GDP ที่ลดลงก็ตาม
“นี่คือภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างแท้จริง” นายหวัง เว่ย นักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยในเซี่ยงไฮ้กล่าว “รัฐบาลต้องการทั้งท้องฟ้าที่สดใสและเศรษฐกิจที่เติบโต แต่ในโครงสร้างเศรษฐกิจปัจจุบันของจีน สองสิ่งนี้มักจะเดินไปในทิศทางตรงกันข้าม”
จากเหอเป่ย์ถึงทั่วโลก ผลกระทบของนโยบายจีนต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
นโยบายลดผลผลิตของจีนส่งผลต่อโลกอย่างไร? การตัดสินใจที่เกิดขึ้นในห้องประชุมของ คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (NDRC) ในปักกิ่ง ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนไปไกลถึงเหมืองแร่ในออสเตรเลียและบราซิล
- ตลาดแร่เหล็ก (Iron Ore) จีนเป็นผู้นำเข้าแร่เหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลก การลดการผลิตเหล็กกล้าหมายถึงความต้องการแร่เหล็กที่ลดลงโดยตรง ส่งผลกระทบต่อราคาแร่เหล็กในตลาดโลกและรายได้ของบริษัทเหมืองแร่ยักษ์ใหญ่อย่าง BHP, Rio Tinto และ Vale
- ตลาดถ่านหิน แม้จีนจะเป็นผู้ผลิตถ่านหินรายใหญ่ แต่ก็ยังนำเข้าถ่านหินคุณภาพสูงจากอินโดนีเซียและออสเตรเลีย นโยบายที่จำกัดการใช้ถ่านหินภายในประเทศสร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาดพลังงานในภูมิภาค
- เงินเฟ้อโลก ในระยะสั้น การที่ “โรงงานของโลก” ลดกำลังการผลิต อาจทำให้ราคาสินค้าอุตสาหกรรมบางประเภทปรับตัวสูงขึ้นและส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศคู่ค้า
‘คุณภาพสูง’ หรือ ‘เติบโตต่ำ’? อนาคตที่ท้าทายของเศรษฐกิจจีน
แนวโน้มเศรษฐกิจจีนล่าสุดเป็นอย่างไร? รัฐบาลจีนพยายามสื่อสารว่านี่คือส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านสู่โมเดลเศรษฐกิจแบบ “การพัฒนาคุณภาพสูง” ที่เน้นนวัตกรรม, เทคโนโลยี, และความยั่งยืน แทนที่โมเดลเก่าที่พึ่งพาการลงทุนในอุตสาหกรรมหนักและการก่อสร้าง
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด การลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมดั้งเดิมหมายถึงการเติบโตของ GDP ที่ช้าลง, ความเสี่ยงที่คนงานในภาคอุตสาหกรรมจะตกงาน, และความท้าทายในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาทดแทนให้ทันเวลา
บทสรุป สัญญาณเตือนที่โลกต้องรับฟัง
ข้อมูลผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่น่าผิดหวังของจีนในเดือนสิงหาคม ไม่ใช่แค่เรื่องราวของตัวเลข แต่เป็นภาพสะท้อนของการต่อสู้เชิงนโยบายที่ซับซ้อนภายในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก การตัดสินใจของปักกิ่งที่จะยอม “เจ็บแต่จบ” โดยการลดการผลิตในภาคอุตสาหกรรมหนักเพื่อเป้าหมายระยะยาวด้านสิ่งแวดล้อมและเพื่อจัดการกับอุปทานส่วนเกิน ถือเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญสำหรับโลก
มันเป็นสัญญาณว่ายุคของการเติบโตอย่างร้อนแรงของเศรษฐกิจจีนที่ขับเคลื่อนด้วยการก่อสร้างได้สิ้นสุดลงแล้ว และโลกกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับจีนที่เติบโตช้าลง แต่ (อาจจะ) เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนผ่านนี้จะสร้างทั้งความเสี่ยงและโอกาสใหม่ๆ ให้กับเศรษฐกิจโลกไปอีกหลายปี
แหล่งที่มาจาก : am2con