ครบรอบ 2 ปีสงครามกาซา เสียงไซเรนแห่งความทรงจำดังก้องไปทั่วกรุงเทลอาวีฟและเยรูซาเล็ม ขณะที่ชาวอิสราเอลหลายหมื่นคนออกมารวมตัวกันใต้แสงเทียน เพื่อรำลึกถึงวาระ ครบรอบ 2 ปีสงครามกาซา ซึ่งเริ่มต้นขึ้นจากการโจมตีสายฟ้าแลบของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 แต่บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความโศกเศร้า กลับปะปนไปด้วยความแตกแยกและความโกรธแค้นที่ยังคงคุกรุ่น ในขณะที่อีกฟากหนึ่งของกำแพง ในฉนวนกาซา วาระครบรอบผ่านไปอย่างเงียบงัน ท่ามกลางซากปรักหักพังและวิกฤตมนุษยธรรมที่ยังดำเนินต่อไป การครบรอบ 2 ปีของหนึ่งในความขัดแย้งที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์ ความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ไม่ได้เป็นเพียงการรำลึกถึงอดีต แต่เป็นการตอกย้ำถึงบาดแผลที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาของทั้งสองสังคม และเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของ การเจรจาสันติภาพ ที่ยังคงเป็นทางตัน ทำให้สันติภาพที่แท้จริงยังคงอยู่ไกลเกินเอื้อม
อิสราเอล สังคมที่แตกแยกภายใต้เงาของความเจ็บปวด
สงครามกาซาส่งผลกระทบต่ออิสราเอลอย่างไร? คำตอบที่ชัดเจนที่สุดในวันครบรอบ 2 ปี คือการทิ้งบาดแผลลึกที่มองไม่เห็นและสร้างรอยร้าวที่กว้างขึ้นในสังคม การชุมนุมที่จัดขึ้นในหลายเมืองใหญ่สะท้อนถึงความแตกแยกนี้อย่างชัดเจน
- การชุมนุมหลักในเทลอาวีฟ “จัตุรัสแห่งตัวประกัน” พื้นที่ใจกลางเมืองถูกเนรมิตให้เป็นสถานที่จัดงานรำลึกที่เน้นย้ำถึงชะตากรรมของ ตัวประกันอิสราเอล ที่ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ในกาซา ครอบครัวของตัวประกันผลัดกันขึ้นเวทีกล่าวปราศรัย ทั้งด้วยน้ำตาและด้วยความโกรธเกรี้ยว เรียกร้องให้รัฐบาลทำ “ทุกวิถีทาง” เพื่อนำคนที่พวกเขารักกลับบ้าน แม้จะต้องแลกด้วยข้อตกลงที่เจ็บปวดก็ตาม
“2 ปีแล้วที่รัฐบาลล้มเหลวในการพาลูกชายของฉันกลับบ้าน” มารดาของหนึ่งในตัวประกันกล่าว “สำหรับเรา สงครามยังไม่จบ และมันจะไม่มีวันจบจนกว่าเก้าอี้ทุกตัวที่ว่างเปล่าในบ้านของเราจะมีคนกลับมานั่ง” - การชุมนุมของกลุ่มชาตินิยมในเยรูซาเล็ม ในขณะเดียวกัน กลุ่มชาตินิยมขวาจัดได้จัดกิจกรรมคู่ขนาน เรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการที่แข็งกร้าวต่อไป ปฏิเสธการเจรจาใดๆ กับฮามาส และเดินหน้าขยายการตั้งถิ่นฐานในเขตเวสต์แบงก์เพื่อ “สร้างความมั่นคงที่แท้จริง”
ความแตกแยกนี้สะท้อนให้เห็นถึงภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของสังคมอิสราเอล ที่ต้องเลือกระหว่างความปรารถนาที่จะเห็นตัวประกันเป็นอิสระ กับความต้องการความปลอดภัยและความรู้สึกที่จะต้อง “เอาชนะ” ศัตรูอย่างเด็ดขาด ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยที่เคยเป็นจุดแข็งของชาติได้พังทลายลงในวันที่ 7 ตุลาคม และจนถึงวันนี้ ความรู้สึกนั้นก็ยังไม่กลับคืนมา
กาซา ชีวิตท่ามกลางซากปรักหักพังและอนาคตที่มืดมน
ชีวิตในฉนวนกาซาหลังสงครามเป็นอย่างไร? สำหรับชาวปาเลสไตน์กว่า 2 ล้านคนในกาซา วันครบรอบ 2 ปี ไม่ได้มีความหมายใดเป็นพิเศษ เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว “สงครามในอีกรูปแบบหนึ่ง” ยังคงดำเนินต่อไปทุกวัน สถานการณ์ล่าสุดในกาซา ตามรายงานของหน่วยงานสหประชาชาติ (UN) และองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ ยังคงเลวร้ายอย่างที่สุด
- การฟื้นฟูที่แทบไม่เกิดขึ้น กระบวนการฟื้นฟู відбудовуเป็นไปอย่างเชื่องช้าจนน่าใจหาย โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ทั้งโรงพยาบาล, โรงเรียน และระบบประปา ยังคงอยู่ในสภาพปรักหักพัง เงินทุนช่วยเหลือจากนานาชาติไม่เพียงพอ และการปิดล้อมของอิสราเอลที่เข้มงวดต่อวัสดุก่อสร้าง ทำให้การซ่อมแซมบ้านเรือนเป็นไปไม่ได้สำหรับคนส่วนใหญ่
- วิกฤตมนุษยธรรมที่เรื้อรัง อัตราการว่างงานพุ่งสูงกว่า 70% ประชากรส่วนใหญ่ต้องพึ่งพิงความช่วยเหลือด้านอาหารเพื่อความอยู่รอด การเข้าถึงน้ำสะอาดและการรักษาพยาบาลที่เหมาะสมยังคงเป็นเรื่องยากลำบาก
- บาดแผลทางจิตใจ ผลกระทบที่รุนแรงที่สุดอาจเป็นบาดแผลทางจิตใจ โดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของกาซา พวกเขาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรุนแรง, ความสูญเสีย และความสิ้นหวัง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าจะเป็น “ระเบิดเวลาทางสังคม” ในอนาคต
“พวกเขาพูดถึงวันครบรอบสงคราม แต่สำหรับเรา ทุกวันคือการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด” ฟาติมา, คุณแม่ลูกสามที่บ้านถูกทำลาย กล่าวกับผู้สื่อข่าวของ Al Jazeera “เราไม่มีบ้าน ไม่มีงาน ไม่มีอนาคต เรามีแต่ความทรงจำที่เลวร้ายและความกลัวว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นอีกครั้ง”
ทางตันทางการทูต เหตุใดการเจรจาจึงยังคงล้มเหลว?
แม้จะมีความพยายามไกล่เกลี่ยจากนานาชาติ โดยเฉพาะอียิปต์และกาตาร์ แต่ ทำไมการเจรจาระหว่างอิสราเอลกับฮามาสถึงล้มเหลว มาตลอด 2 ปี คำตอบอยู่ที่จุดยืนพื้นฐานของทั้งสองฝ่ายที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้
- จุดยืนของฮามาส นำโดยผู้นำอย่าง ยาห์ยา ซินวาร์ ยืนกรานในข้อเรียกร้องหลัก คือ การหยุดยิงถาวร, การถอนทหารอิสราเอลทั้งหมดออกจากฉนวนกาซา, การเปิดจุดผ่านแดนทุกจุดอย่างไม่มีเงื่อนไข และการปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์หลายพันคน รวมถึงนักโทษระดับสูง เพื่อแลกกับการปล่อยตัวประกันที่เหลือทั้งหมด
- จุดยืนของอิสราเอล รัฐบาลอิสราเอล ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของแนวคิดของ เบนจามิน เนทันยาฮู และกลุ่มขวาจัด ยืนยันว่าจะไม่ยอมรับการหยุดยิงถาวรที่จะปล่อยให้กลุ่มฮามาสยังคงมีอำนาจปกครองและมีศักยภาพทางทหารในกาซาต่อไป พวกเขายอมรับได้แค่ “การหยุดยิงชั่วคราว” เพื่อแลกเปลี่ยนตัวประกัน แต่ยังคงสงวนสิทธิ์ในการกลับเข้าโจมตีอีกครั้ง
ช่องว่างระหว่าง “การยุติสงครามอย่างถาวร” กับ “การหยุดพักรบชั่วคราว” คือเหวขนาดใหญ่ที่ไม่มีฝ่ายใดยอมข้าม ทำให้การเจรจาเป็นเพียงการยื้อเวลาและจบลงด้วยความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า
ภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนไป “ทางออกสองรัฐ” ความหวังที่ตายแล้ว?
อนาคตของความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์จะเป็นอย่างไร? สงครามครั้งนี้ได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ของตะวันออกกลางไปอย่างสิ้นเชิง
- การล่มสลายของความหวัง แนวคิด “ทางออกสองรัฐ” (Two-State Solution) ซึ่งเคยเป็นแนวทางหลักของประชาคมโลก บัดนี้ดูเหมือนจะห่างไกลจากความเป็นจริงมากกว่าที่เคยเป็นมา ความไม่ไว้วางใจระหว่างทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับสูงสุด และจุดยืนของรัฐบาลขวาจัดในอิสราเอลก็ปฏิเสธแนวคิดนี้อย่างชัดเจน
- ความสัมพันธ์กับโลกอาหรับ แม้ข้อตกลงเอบราแฮม (Abraham Accords) ที่อิสราเอลทำไว้กับชาติอาหรับบางชาติจะยังคงอยู่ แต่ความสัมพันธ์ในระดับประชาชนได้เย็นชาลงอย่างมาก และโอกาสในการขยายความสัมพันธ์กับชาติอาหรับอื่นๆ โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย ได้หยุดชะงักลง
- การเปลี่ยนแปลงในเวทีโลก สงครามได้กระตุ้นให้หลายประเทศในยุโรปและลาตินอเมริกา หันมารับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการมากขึ้น และนำมาซึ่งการฟ้องร้องอิสราเอลในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งแม้จะยังไม่มีผลทางปฏิบัติ แต่ก็ได้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของอิสราเอลในเวทีโลกอย่างรุนแรง
บทสรุป สองปีผ่านไปในอุโมงค์ที่ยังไร้แสงสว่างที่ปลายทาง วาระ ครบรอบ 2 ปีสงครามกาซา
ไม่ใช่การปิดฉาก แต่เป็นเครื่องหมายที่ตอกย้ำถึงความล้มเหลวในการหาทางออกจากความขัดแย้ง มันคือเรื่องราวของสองสังคมที่ต่างก็เป็นเหยื่อและต่างก็เป็นผู้สร้างความเจ็บปวดให้แก่กันและกัน ถูกขังอยู่ในวงจรของความรุนแรง, ความแค้น และความไม่ไว้วางใจ
อิสราเอลได้ความมั่นคงที่เปราะบางกลับคืนมา แต่ต้องแลกด้วยการสูญเสียความรู้สึกปลอดภัยและความแตกแยกภายในอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ชาวปาเลสไตน์ในกาซาอาจรอดชีวิตจากสงคราม แต่ต้องอยู่อย่างไร้อนาคตและไร้ความหวัง ท่ามกลางซากปรักหักพังของบ้านเมืองและชีวิต
ตราบใดที่ยังไม่มีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และกล้าหาญพอที่จะก้าวข้ามความเกลียดชัง, ตราบใดที่ยังไม่มีแรงกดดันจากนานาชาติที่มากพอที่จะบังคับให้ทั้งสองฝ่ายต้องประนีประนอม, และตราบใดที่บาดแผลยังคงสดใหม่และถูกส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง วาระครบรอบ 2 ปีในวันนี้ ก็อาจเป็นเพียงการซ้อมใหญ่สำหรับโศกนาฏกรรมที่จะเกิดขึ้นในวันครบรอบ 3 ปี, 4 ปี หรือ 5 ปี ต่อไปในอุโมงค์ที่มืดมิดแห่งนี้
แหล่งที่มาจาก : am2con