รอยร้าวบนปราการเหล็ก ถอดรหัสเหตุ “กราดยิงในซิดนีย์” ที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นและท้าทายกฎหมายปืนที่เคยดีที่สุดในโลก

กราดยิงในซิดนีย์

ความสงบสุขในช่วงพักกลางวัน ณ ย่านธุรกิจใจกลางนครซิดนีย์ถูกทำลายลงอย่างฉับพลันด้วยเสียงปืนที่ดังกึกก้อง เมื่อชายวัย 60 ปีเปิดฉากกราดยิงไม่เลือกหน้า ส่งผลให้มีผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 20 ราย ก่อนที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษจะเข้าระงับเหตุและจับกุมตัวไว้ได้ เหตุการณ์ระทึกขวัญซึ่งเป็นภาพที่หาได้ยากยิ่งในออสเตรเลียนี้ ไม่ใช่แค่การโจมตีที่สร้างบาดแผลทางกาย แต่เป็นการสั่นสะเทือนรากฐานความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของชาติอย่างรุนแรง และเป็นการท้าทายโดยตรงต่อ “โมเดลออสเตรเลีย” ในการควบคุมอาวุธปืนที่โลกเคยยกย่องให้เป็นมาตรฐานทองคำมาเกือบสามทศวรรษ โศกนาฏกรรมครั้งนี้กำลังบังคับให้สังคมออสเตรเลียทั้งประเทศ ต้องหันมาทบทวนอย่างเจ็บปวดว่า ช่องโหว่ใดที่ทำให้เหตุการณ์เลวร้ายซึ่งพวกเขาเคยเชื่อว่าไม่ควรจะเกิดขึ้นได้อีก ได้หวนกลับมาทำลายความสงบสุขของพวกเขาลงอย่างย่อยยับ

Today’s News Headlines: 60-year-old man arrested after Sydney shooting

วินาทีระทึกขวัญ ณ มาร์ตินเพลส เมื่อความปกติถูกฉีกกระชาก

เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น บริเวณมาร์ตินเพลส (Martin Place) ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจของย่านธุรกิจในซิดนีย์ รายล้อมไปด้วยอาคารสำนักงานใหญ่ของสถาบันการเงิน ธนาคาร และเป็นพื้นที่สาธารณะที่มีผู้คนสัญจรผ่านไปมาอย่างคับคั่งตลอดทั้งวัน พยานในที่เกิดเหตุเล่าว่า ชายผู้ก่อเหตุซึ่งทราบชื่อในภายหลังว่าเป็นชายวัย 60 ปี ได้เริ่มเปิดฉากยิงจากอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติ ทำให้ฝูงชนที่กำลังพักผ่อนและรับประทานอาหารกลางวันต่างพากันวิ่งหนีตายอย่างโกลาหล

เสียงกรีดร้องและเสียงปืนดังก้องไปทั่วบริเวณ พนักงานออฟฟิศต่างพากันหมอบลงใต้โต๊ะ ในขณะที่ร้านค้าต่างๆ รีบปิดประตูลงทันที ปฏิบัติการตอบโต้ของ ตำรวจรัฐนิวเซาท์เวลส์ (New South Wales Police Force) เป็นไปอย่างรวดเร็ว หน่วยยุทธวิธีติดอาวุธหนัก (Tactical Operations Unit) ได้เข้าปิดล้อมพื้นที่ภายในไม่กี่นาที และหลังจากสถานการณ์ตึงเครียดผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เจ้าหน้าที่ก็สามารถเข้าจับกุมผู้ก่อเหตุได้สำเร็จ

“มันเหมือนฉากในหนังเลย ทุกคนวิ่งไปคนละทิศละทาง ผมได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ผมแค่คิดว่าต้องวิ่ง ต้องหาที่ซ่อน” เดวิด เฉิน, พนักงานออฟฟิศผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่หายตื่นตระหนก “คุณไม่เคยคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นที่นี่ ที่ซิดนีย์”

“โมเดลออสเตรเลีย” ที่ถูกท้าทาย ย้อนรอยกฎหมายควบคุมปืนที่เกิดจากโศกนาฏกรรม

เพื่อที่จะเข้าใจว่าเหตุใดเหตุการณ์ กราดยิงในซิดนีย์ ครั้งนี้จึงสร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก เราจำเป็นต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจบริบทของ กฎหมายควบคุมปืนออสเตรเลีย ที่เป็นผลพวงโดยตรงจากโศกนาฏกรรมครั้งประวัติศาสตร์

  • จุดเปลี่ยน เหตุกราดยิงที่พอร์ตอาร์เทอร์ (Port Arthur Massacre) ในปี 1996 มือปืนเพียงคนเดียวได้สังหารประชาชนไป 35 ราย และบาดเจ็บอีก 23 ราย ที่เมืองพอร์ตอาร์เทอร์ รัฐแทสเมเนีย เหตุการณ์ครั้งนั้นได้สร้างความสะเทือนใจและกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งใหญ่
  • กำเนิดข้อตกลงอาวุธปืนแห่งชาติ (National Firearms Agreement – NFA) เพียง 12 วันหลังโศกนาฏกรรม รัฐบาลอนุรักษนิยมของนายกรัฐมนตรีจอห์น ฮาวเวิร์ด ในขณะนั้น ได้ร่วมมือกับทุกรัฐและดินแดนของออสเตรเลีย สร้างฉันทามติร่วมกันในการปฏิรูปกฎหมายปืนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติ
  • มาตรการสำคัญภายใต้ NFA
    • สั่งแบนอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติ อาวุธปืนยาวและปืนลูกซองกึ่งอัตโนมัติและอัตโนมัติทั้งหมดถูกสั่งแบนสำหรับการครอบครองโดยพลเรือน
    • โครงการซื้อปืนคืนครั้งใหญ่ (Gun Buyback) รัฐบาลใช้งบประมาณมหาศาลในการซื้อปืนที่ถูกสั่งแบนคืนจากประชาชนกว่า 650,000 กระบอกมาทำลาย
    • ระบบใบอนุญาตที่เข้มงวด การขอใบอนุญาตมีและใช้อาวุธปืนต้องมีเหตุผลที่ “พิสูจน์ได้จริง” (Genuine Reason) เช่น การเป็นสมาชิกชมรมยิงปืน หรือการล่าสัตว์ และต้องผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมและสุขภาพจิตอย่างละเอียด
    • ระบบทะเบียนปืนแห่งชาติ มีการจัดตั้งระบบทะเบียนปืนในระดับชาติเพื่อติดตามอาวุธปืนทุกกระบอก

ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง นับตั้งแต่ปี 1996 เป็นต้นมา อัตราการเสียชีวิตจากอาวุธปืนในออสเตรเลียลดลงอย่างฮวบฮาบ และที่สำคัญที่สุดคือ ประเทศแทบไม่เคยเผชิญกับเหตุกราดยิงครั้งใหญ่อีกเลยเป็นเวลาเกือบ 30 ปี จนกระทั่งถึงวันนี้

Sydney police set to interview suspect in shooting that critically injured  one | Reuters

ช่องโหว่ในปราการเหล็ก คำถามสำคัญที่ตำรวจและสังคมต้องหาคำตอบ

โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้ทิ้งคำถามที่ใหญ่ที่สุดและน่ากลัวที่สุดไว้เบื้องหลัง เกิดเหตุกราดยิงในซิดนีย์ได้อย่างไรทั้งที่มีกฎหมายปืนเข้มงวด? ขณะนี้ตำรวจกำลังเร่งสืบสวนหาที่มาของอาวุธปืนที่ใช้ในการก่อเหตุ ซึ่งอาจมาจากช่องทางที่เป็นไปได้ดังนี้

  1. ตลาดมืดและปืนเถื่อน (Illegal Firearms) เป็นไปได้ว่าอาวุธที่ใช้ถูกลักลอบนำเข้ามาในประเทศ หรืออาจเป็นชิ้นส่วนที่ถูกลักลอบนำเข้ามาประกอบเอง ซึ่งหากเป็นกรณีนี้ จะเป็นการชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวในการควบคุมชายแดนและปัญหาการลักลอบค้าอาวุธที่รุนแรงกว่าที่เคยประเมินไว้
  2. ปืนที่เคยถูกกฎหมายแต่ไม่ถูกส่งมอบ (Grey Market) อาจเป็นอาวุธปืนเก่าที่อยู่ในประเทศมาก่อนปี 1996 และเจ้าของเดิมไม่นำไปส่งมอบในโครงการซื้อคืน ทำให้มันกลายเป็นอาวุธนอกระบบที่ยากต่อการติดตาม
  3. ความล้มเหลวของระบบใบอนุญาต (Licensed Firearm) กรณีที่น่ากังวลที่สุดคือ หากผู้ก่อเหตุครอบครองปืนอย่างถูกกฎหมาย นั่นจะหมายถึงความล้มเหลวอย่างร้ายแรงของระบบการตรวจสอบประวัติและสุขภาพจิต ซึ่งจะนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบครั้งใหญ่อีกครั้ง

แรงจูงใจของผู้ก่อเหตุกราดยิงในซิดนีย์คืออะไร? เป็นอีกหนึ่งคำถามสำคัญที่ยังไม่มีคำตอบ ตำรวจยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ทั้งปัญหาสุขภาพจิตส่วนตัว ความขัดแย้งส่วนบุคคล หรือแม้กระทั่งแรงจูงใจทางอุดมการณ์ ซึ่งอาจยกระดับเหตุการณ์นี้เป็น เหตุก่อการร้ายออสเตรเลีย ได้

เสียงสะท้อนจากสังคมและการเมือง “นี่คือฝันร้ายที่เราเคยผ่านพ้นมาแล้ว”

ข่าวการกราดยิงได้สร้างคลื่นแห่งความโศกเศร้าและความโกรธแค้นไปทั่วประเทศ นายกรัฐมนตรี แอนโธนี อัลบาเนซี ได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำที่ขี้ขลาดและไร้ซึ่งเหตุผล พร้อมทั้งยืนยันว่ารัฐบาลของเขาจะยังคงยึดมั่นในกฎหมายควบคุมปืนที่เข้มงวดต่อไป

“หัวใจของชาวออสเตรเลียทุกคนแตกสลายในวันนี้ นี่คือเหตุการณ์ที่ย้ำเตือนเราถึงเหตุผลว่าทำไมเราถึงมีกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มแข็งที่สุดในโลก และเราจะไม่มีวันอ่อนข้อให้กับมัน” ส่วนหนึ่งของแถลงการณ์จากนายกรัฐมนตรี

กลุ่มรณรงค์เพื่อการควบคุมปืน เช่น Gun Control Australia ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลทำการทบทวนกฎหมายทั้งหมดเพื่ออุดช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้น ในขณะที่สังคมกำลังร่วมกันไว้อาลัยให้กับผู้บาดเจ็บและครอบครัว

Gunman arrested after shooting rampage in Sydney

บทสรุป ออสเตรเลียหลังวันแห่งความสูญเสียและบททดสอบครั้งใหม่

สถานการณ์ล่าสุดที่ซิดนีย์ คือเมืองทั้งเมืองยังคงอยู่ในภาวะช็อก มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดทั่วพื้นที่สาธารณะ และการสืบสวนยังคงดำเนินต่อไป แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ บาดแผลจากเหตุการณ์นี้ลึกซึ้งกว่าจำนวนผู้บาดเจ็บทางกาย มันได้ทลายกำแพงแห่งความรู้สึกปลอดภัยที่ชาวออสเตรเลียเคยภาคภูมิใจมานานเกือบสามทศวรรษ

โศกนาฏกรรมครั้งนี้บังคับให้ออสเตรเลียต้องเริ่มต้นการสนทนาที่พวกเขาเคยคิดว่าได้จบสิ้นไปแล้วตั้งแต่ปี 1996 การหาคำตอบให้ได้ว่าปืนกระบอกนั้นเล็ดลอดผ่านปราการที่เคยแข็งแกร่งมาได้อย่างไร จะเป็นบททดสอบที่สำคัญที่สุดต่อเจตจำนงทางการเมืองและสังคมของออสเตรเลียในยุคปัจจุบัน และผลลัพธ์ของการทบทวนครั้งนี้ จะถูกจับตามองโดยประชาคมโลก โดยเฉพาะประเทศที่ยังคงต่อสู้กับความรุนแรงจากอาวุธปืนอย่างไม่จบสิ้น เพื่อดูว่า “โมเดลออสเตรเลีย” จะสามารถซ่อมแซมรอยร้าวและกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้งหรือไม่

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *