ชายฝั่งทางตอนใต้ของจีนกำลังตกอยู่ในภาวะเฝ้าระวังขั้นสูงสุด ขณะที่ พายุไต้ฝุ่นแมตโม (Typhoon Matmo) ได้ทวีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็วจนจ่อระดับ “ซูเปอร์ไต้ฝุ่น” บีบให้ทางการจีนต้องสั่งอพยพประชาชนมากกว่า 150,000 คน ออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยเป็นการด่วน อย่างไรก็ตาม พายุลูกนี้ไม่ได้เป็นเพียงภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล แต่มันคือบททดสอบครั้งสำคัญสำหรับประเทศจีนในสนามรบสองด้าน ด้านหนึ่งคือการต่อสู้กับพลังทำลายล้างของพายุที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างผิดปกติจาก ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และอีกด้านคือการพิสูจน์ประสิทธิภาพของระบบบัญชาการรับมือภัยพิบัติขนาดมหึมาและนวัตกรรมทางวิศวกรรมที่จีนทุ่มเทงบประมาณมหาศาลสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องชีวิตประชาชนและแกนกลางทางเศรษฐกิจของตน โลกกำลังจับตามองว่า “มหาอำนาจ” จะรับมือกับ “มหันตภัย” ที่ทรงพลังขึ้นได้อย่างไร
“แมตโม” อสูรร้ายลูกใหม่แห่งแปซิฟิก เจาะลึกความรุนแรงและเส้นทาง
ข้อมูลล่าสุดจาก กรมอุตุนิยมวิทยาจีน (China Meteorological Administration – CMA) และศูนย์เตือนภัยไต้ฝุ่นร่วม (JTWC) ของสหรัฐฯ ระบุว่า พายุไต้ฝุ่นแมตโมได้เพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว (Rapid Intensification) ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยมีความเร็วลมใกล้ศูนย์กลางสูงถึง 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเทียบเท่ากับพายุเฮอริเคนระดับ 4 ตามมาตรวัดของตะวันตก และมีแนวโน้มจะทวีกำลังเป็น ซูเปอร์ไต้ฝุ่น ก่อนจะพัดขึ้นฝั่ง
เส้นทางพายุไต้ฝุ่น ที่คาดการณ์ไว้ชี้ว่าศูนย์กลางของพายุจะเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งในช่วงค่ำของวันพรุ่งนี้ (9 ตุลาคม 2568) โดยมีเป้าหมายหลักคือแนวรอยต่อระหว่าง มณฑลกวางตุ้ง (Guangdong) และ มณฑลฝูเจี้ยน (Fujian) ซึ่งเป็นที่ตั้งของเขตเศรษฐกิจพิเศษและเมืองท่าสำคัญหลายแห่ง รวมถึงเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของโลก
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดสำหรับนักพยากรณ์อากาศคือปริมาณน้ำฝนที่แมตโมจะนำมาด้วย อุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยได้อัดฉีดพลังงานและความชื้นมหาศาลเข้าไปในพายุลูกนี้ ทำให้คาดการณ์ว่าอาจมีปริมาณฝนสะสมสูงถึง 400-600 มิลลิเมตรในบางพื้นที่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่ม และสตอร์มเซิร์จ (Storm Surge) หรือคลื่นพายุซัดฝั่งที่สูงหลายเมตรได้
ปฏิบัติการระดับชาติ กลไกสั่งการ “Top-Down” ของจีนในการอพยพแสนคน
ทันทีที่สัญญาณเตือนภัยพายุถูกยกระดับเป็นสีแดง ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ปฏิบัติการ จีนเตรียมรับมือพายุ ก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเต็มรูปแบบและเป็นระบบ สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกลไกบัญชาการแบบรวมศูนย์จากบนลงล่าง (Top-Down Command) ที่เป็นเอกลักษณ์ของจีน
- คำสั่งจากส่วนกลาง รัฐบาลกลางในกรุงปักกิ่งได้ออกคำสั่งฉุกเฉินไปยังรัฐบาลมณฑลและเมืองต่างๆ ในเส้นทางพายุ
- การระดมทรัพยากร มีการระดมกำลังทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนหลายหมื่นนายเข้าสู่พื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อช่วยในการอพยพและเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการกู้ภัย
- การอพยพครั้งใหญ่ ประชาชนมากกว่า 150,000 คน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งและพื้นที่ลุ่มต่ำ ถูกเคลื่อนย้ายไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่จัดเตรียมไว้ เช่น โรงเรียนและอาคารของรัฐที่มีความแข็งแรงทนทาน
- มาตรการป้องกัน เรือประมงหลายหมื่นลำถูกเรียกกลับเข้าฝั่ง เที่ยวบินหลายร้อยเที่ยวถูกยกเลิก บริการรถไฟความเร็วสูงในเส้นทางเลียบชายฝั่งถูกระงับชั่วคราว และสถานที่ก่อสร้างต่างๆ ถูกสั่งให้หยุดดำเนินการและยึดโครงสร้างให้แน่นหนา
“เราได้รับคำเตือนตั้งแต่เมื่อวาน เจ้าหน้าที่หมู่บ้านมาเคาะประตูทุกบ้าน บอกให้เราเก็บของที่จำเป็นแล้วไปที่โรงเรียน” นางหลิว, ผู้อยู่อาศัยในเมืองซัวเถา (ซานโถว) มณฑลกวางตุ้ง ซึ่งถูกอพยพ กล่าวกับสำนักข่าวซินหัว “ที่นี่ปลอดภัย มีอาหารและน้ำดื่มพร้อม เราเชื่อมั่นในการจัดการของรัฐบาล”
สนามทดสอบ “เมืองฟองน้ำ” นวัตกรรมรับมืออุทกภัยจะต้านทานพลังธรรมชาติได้หรือไม่?
นอกจากการอพยพคนแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่กำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดคือ บททดสอบครั้งสำคัญของโครงการ “เมืองฟองน้ำ” (Sponge City) ซึ่งเป็นนโยบายระดับชาติที่จีนทุ่มงบประมาณหลายแสนล้านหยวนเพื่อปฏิวัติการจัดการน้ำในเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อลดปัญหาน้ำท่วมในเขตเมือง
แนวคิดของเมืองฟองน้ำคือการเปลี่ยนเมืองที่เคย “ต่อต้าน” น้ำ (ด้วยการสร้างกำแพงและท่อระบายน้ำคอนกรีต) ให้กลายเป็นเมืองที่ “ดูดซับ” น้ำได้เหมือนฟองน้ำ ผ่านนวัตกรรมต่างๆ เช่น
- ทางเท้าและพื้นผิวที่น้ำซึมผ่านได้ (Permeable Pavements)
- สวนบนดาดฟ้า (Green Roofs) และสวนแนวตั้ง
- พื้นที่ชุ่มน้ำและทะเลสาบที่สร้างขึ้นในเมือง เพื่อเป็นแก้มลิง
- การฟื้นฟูแม่น้ำลำคลองสายย่อยให้กลับมาเป็นธรรมชาติ
หลายเมืองใหญ่ในเส้นทางของพายุแมตโม เช่น เซินเจิ้นและจูไห่ในมณฑลกวางตุ้ง ถือเป็นเมืองนำร่องในโครงการนี้ การมาถึงของพายุที่คาดว่าจะนำฝนปริมาณมหาศาลมาด้วย จึงเปรียบเสมือนการทำ “Stress Test” หรือการทดสอบภายใต้สภาวะสุดขีด ว่าโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวเหล่านี้จะสามารถดูดซับและชะลอน้ำฝนได้ดีเพียงใด เพื่อป้องกันไม่ให้ใจกลางเมืองที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงต้องจมอยู่ใต้น้ำ
รอยนิ้วมือของโลกร้อน เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซูเปอร์ชาร์จพายุ
ปรากฏการณ์ความรุนแรงของ พายุไต้ฝุ่นแมตโม ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศทั่วโลกต่างเห็นพ้องต้องกันว่านี่คือหนึ่งใน “รอยนิ้วมือ” ที่ชัดเจนของภาวะโลกร้อน ผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ต่อพายุหมุนเขตร้อนนั้นซับซ้อน แต่มีแนวโน้มที่ชัดเจนหลายประการ
- พลังงานที่มากขึ้น อุณหภูมิของมหาสมุทรที่สูงขึ้นเปรียบเสมือนการเติมเชื้อเพลิงให้กับพายุ ทำให้พายุมีพลังงานในการก่อตัวและทวีกำลังรุนแรงได้มากขึ้นและเร็วขึ้น
- ความชื้นที่สูงขึ้น อากาศที่อุ่นขึ้นสามารถอุ้มไอน้ำได้มากขึ้น ส่งผลให้พายุในยุคโลกร้อนมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรงกว่าในอดีต
- ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ภาวะโลกร้อนทำให้ระดับน้ำทะเลเฉลี่ยสูงขึ้น ซึ่งหมายความว่าเมื่อเกิดสตอร์มเซิร์จ คลื่นพายุจะสามารถซัดลึกเข้ามาในแผ่นดินได้ไกลและสร้างความเสียหายได้มากกว่าเดิม
พายุแมตโมจึงไม่ใช่แค่ภัยพิบัติเฉพาะหน้าที่จีนต้องเผชิญ แต่เป็นสัญญาณเตือนแห่งอนาคต ที่ทุกประเทศที่มีชายฝั่งทะเล โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นเส้นทางผ่านของพายุไต้ฝุ่นอยู่แล้ว จะต้องเตรียมรับมือกับพายุที่มีความรุนแรงระดับ “อสูรร้าย” เช่นนี้บ่อยครั้งขึ้น
บทสรุป การเผชิญหน้าระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และเทคโนโลยี
ขณะที่ พายุไต้ฝุ่นแมตโม กำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่งจีน การเตรียมความพร้อมอย่างเต็มกำลังได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว การอพยพประชาชนจำนวนมากและการเตรียมการป้องกันอย่างเป็นระบบ ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของรัฐบาลจีนในการจัดการภัยพิบัติขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์สุดท้ายยังคงไม่แน่นอน ชัยชนะของมนุษย์ในครั้งนี้ไม่ได้วัดกันแค่ที่จำนวนผู้เสียชีวิตที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่วัดกันที่ความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรมอย่าง “เมืองฟองน้ำ” ว่าจะสามารถลดทอนความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมได้มากน้อยเพียงใด
ผลลัพธ์ของการเผชิญหน้าระหว่างพายุที่โลกร้อนซูเปอร์ชาร์จ กับสุดยอดเทคโนโลยีและกลไกการรับมือของมหาอำนาจในครั้งนี้ จะกลายเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญให้ทั่วโลกได้เรียนรู้และปรับตัว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ภัยธรรมชาติจะไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป
แหล่งที่มาจาก : am2con