อาคารโรงเรียนถล่มในอินโดนีเซีย ปฏิบัติการค้นหาผู้รอดชีวิตใต้ซากอาคารเรียนในจังหวัดชวาตะวันตก ประเทศอินโดนีเซีย ก้าวเข้าสู่วันที่ 7 ท่ามกลางความหวังที่ริบหรี่ลงทุกขณะ โดยยอดผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันพุ่งสูงถึง 36 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษา ขณะที่ครอบครัวของผู้สูญหายยังคงปักหลักรอคอยอย่างใจสลาย อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ปฏิบัติการกู้ภัยกำลังจะสิ้นสุดลง พายุลูกใหม่แห่งความโกรธแค้นและการเรียกร้องความรับผิดชอบกำลังก่อตัวขึ้นทั่วประเทศ โศกนาฏกรรม อาคารโรงเรียนถล่มในอินโดนีเซีย ครั้งนี้ กำลังถูกเปิดเปลือยให้เห็นว่ามันอาจไม่ใช่ภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่เป็นโศกนาฏกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของปัญหาเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึก ทั้ง มาตรฐานความปลอดภัยอาคาร ที่หละหลวม การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ และเงาของการ ทุจริตคอร์รัปชัน ที่กัดกินสังคม ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว พลเรือนผู้บริสุทธิ์คือผู้ที่ต้องรับเคราะห์จากความล้มเหลวเหล่านี้
อาคารโรงเรียนถล่มในอินโดนีเซีย 7 วันแห่งความสิ้นหวัง ปฏิบัติการค้นหาและความหวังที่เลือนราง
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซากปรักหักพังของอาคารเรียน 3 ชั้นที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กๆ ได้กลายเป็นสุสานเงียบงัน ทีมกู้ภัยจาก สำนักงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ (BNPB) พร้อมด้วยทหาร ตำรวจ และอาสาสมัครหลายร้อยชีวิต ทำงานแข่งกับเวลาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พวกเขาใช้เครื่องจักรกลหนักเพื่อยกแผ่นคอนกรีตขนาดใหญ่ออก สลับกับการใช้สุนัขดมกลิ่นและอุปกรณ์ตรวจจับความร้อนเพื่อค้นหาสัญญาณของสิ่งมีชีวิตที่อาจยังหลงเหลืออยู่
ทว่า ปาฏิหาริย์กลับไม่เกิดขึ้น เสียงที่ทีมกู้ภัยได้ยินมีเพียงความเงียบและเสียงสะอื้นของญาติพี่น้องที่มาเฝ้ารออยู่รอบๆ บริเวณแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ ภาพที่น่าสลดใจคือภาพของพ่อแม่ที่ถือรูปถ่ายลูกๆ ของตนไว้ในมือ สายตาจับจ้องไปยังกองซากอาคารด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ
“ลูกสาวของฉันเพิ่งจะอายุ 10 ขวบ เธอบอกว่าอยากเป็นครู” นางซิตี้, มารดาของหนึ่งในผู้สูญหาย ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว AFP ทั้งน้ำตา “ฉันแค่ต้องการร่างของลูกกลับมา ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสภาพไหนก็ตาม ได้โปรด…พาเขากลับบ้าน”
ปฏิบัติการค้นหาที่ยืดเยื้อได้สร้างความเหนื่อยล้าให้กับเจ้าหน้าที่อย่างแสนสาหัส แต่พวกเขายังคงยืนยันที่จะทำงานต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุดภารกิจ หรือจนกว่าจะไม่มีความหวังใดๆ เหลืออยู่อีก
โศกนาฏกรรมที่อาจป้องกันได้ เจาะลึกสาเหตุที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ
ในขณะที่ทั่วประเทศกำลังโศกเศร้า คำถามที่ดังขึ้นเรื่อยๆ คือ “เหตุใดอาคารถึงถล่ม?” จากการตรวจสอบเบื้องต้นโดยผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโครงสร้าง พบว่าไม่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวหรือภัยธรรมชาติรุนแรงใดๆ ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ ทำให้ข้อสันนิษฐานทั้งหมดพุ่งเป้าไปที่ความล้มเหลวของโครงสร้างอาคาร ซึ่งเป็นผลมาจากความบกพร่องของมนุษย์
- วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน มีการตั้งข้อสังเกตว่าเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตที่ใช้อาจมีขนาดเล็กกว่าที่แบบก่อสร้างกำหนด และส่วนผสมของปูนซีเมนต์อาจไม่ได้คุณภาพ ทำให้ความสามารถในการรับน้ำหนักของโครงสร้างลดลงอย่างมาก
- การก่อสร้างที่ผิดพลาด กระบวนการก่อสร้างอาจไม่ได้เป็นไปตามหลักวิศวกรรมที่ถูกต้อง เช่น การเทคานหรือเสาที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งสร้างจุดอ่อนให้กับโครงสร้างอาคารในระยะยาว
- การต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาต มีรายงานว่าอาคารเรียนดังกล่าวมีการต่อเติมชั้นเรียนเพิ่มเติมจากแบบเดิมเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งการต่อเติมนี้อาจไม่ได้ผ่านการคำนวณการรับน้ำหนักของโครงสร้างเดิมอย่างถูกต้อง
- การละเลยสัญญาณเตือน พยานหลายคนซึ่งเป็นผู้ปกครองและครูในโรงเรียน ระบุว่าเคยสังเกตเห็นรอยร้าวขนาดใหญ่บนผนังและเสาของอาคารมานานหลายเดือน และได้แจ้งให้ผู้บริหารโรงเรียนและหน่วยงานการศึกษาท้องถิ่นทราบแล้ว แต่กลับไม่มีการดำเนินการตรวจสอบหรือแก้ไขอย่างจริงจัง
ปัจจัยทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า โศกนาฏกรรมอินโดนีเซีย ครั้งนี้ เป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ หากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตาม มาตรฐานการก่อสร้าง และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
“คอร์รัปชัน” คือผู้ร้ายตัวจริง? เมื่อความโลภมีค่ามากกว่าชีวิตคน
คำว่า “การทุจริตคอร์รัปชัน” ถูกพูดถึงอย่างหนาหูในแวดวงสื่อสังคมออนไลน์และในหมู่ประชาชนที่ติดตามข่าวนี้ อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชันมาอย่างยาวนาน และภาคการก่อสร้างถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการทุจริตสูงที่สุด
กลุ่มต่อต้านคอร์รัปชันในอินโดนีเซีย (Indonesia Corruption Watch – ICW) ได้ออกมาเรียกร้องให้มีการสอบสวนในประเด็นนี้อย่างจริงจัง โดยตั้งข้อสังเกตถึงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและตรวจรับงานก่อสร้างอาคารของภาครัฐ ซึ่งมักมีช่องโหว่ให้เกิดการทุจริตได้ง่าย
- การฮั้วประมูล ผู้รับเหมาอาจจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อให้ได้สัญญาก่อสร้าง แม้จะเสนอราคาต่ำกว่ามาตรฐานความเป็นจริง ซึ่งนำไปสู่การลดต้นทุนด้วยการใช้วัสดุราคาถูกและไม่ได้คุณภาพ
- การละเลยของผู้ตรวจสอบ เจ้าหน้าที่รัฐที่รับผิดชอบในการตรวจสอบคุณภาพการก่อสร้างอาจได้รับสินบนเพื่อ “ปิดตา” ข้างหนึ่ง และอนุมัติให้ผ่านการตรวจสอบ แม้ว่างานก่อสร้างจะไม่ได้เป็นไปตามแบบก็ตาม
- งบประมาณที่รั่วไหล งบประมาณที่จัดสรรไว้สำหรับการก่อสร้างหรือซ่อมบำรุงอาคารเรียน อาจถูกยักยอกไปในระหว่างทาง ทำให้เงินที่ถูกนำมาใช้จริงมีไม่เพียงพอที่จะสร้างอาคารที่แข็งแรงและปลอดภัยได้
“ทุกครั้งที่มีโศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้น เรามักจะพบว่าต้นตอของมันเชื่อมโยงกับการทุจริตไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” ตัวแทนจาก ICW กล่าว “มันคือมะเร็งร้ายที่กัดกินประเทศ และครั้งนี้มันได้พรากชีวิตของเด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติไป”
รัฐบาลอินโดนีเซียภายใต้แรงกดดัน คำสัญญาและการเยียวยา
ภัยพิบัติอินโดนีเซีย ครั้งนี้ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อรัฐบาลของประธานาธิบดี โจโก วิโดโด ซึ่งได้เดินทางไปเยี่ยมพื้นที่เกิดเหตุและให้คำมั่นสัญญาว่าจะดำเนินการสอบสวนอย่างถึงที่สุด และจะนำตัวผู้ที่ต้องรับผิดชอบทั้งหมดมาลงโทษตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้รับเหมา วิศวกร หรือเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือเบื้องต้น ดังนี้
- มอบเงินเยียวยาให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ
- จัดหาที่พักพิงชั่วคราวและให้ความช่วยเหลือด้านจิตใจแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ
- สั่งการให้มีการตรวจสอบความปลอดภัยของอาคารเรียนทั่วประเทศอย่างเร่งด่วน
อย่างไรก็ตาม ประชาชนจำนวนมากยังคงกังขาต่อคำสัญญาของรัฐบาล พวกเขากลัวว่าเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวจะเงียบหาย และจะไม่มีการปฏิรูปอย่างจริงจังเกิดขึ้น ซึ่งจะปล่อยให้เด็กนักเรียนอีกหลายล้านคนต้องเรียนอยู่ในอาคารที่มีความเสี่ยงต่อไป
บทสรุป บทเรียนราคาแพงที่ต้องแลกมาด้วยชีวิต
ขณะที่ปฏิบัติการค้นหาสิ้นสุดลง ปฏิบัติการค้นหา “ความจริงและความยุติธรรม” เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น โศกนาฏกรรม อาคารโรงเรียนถล่มในอินโดนีเซีย ไม่ควรถูกจดจำในฐานะอุบัติเหตุ แต่ควรเป็นบทเรียนราคาแพงที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
การลงโทษผู้กระทำผิดเพียงไม่กี่คนอาจไม่เพียงพอ สิ่งที่อินโดนีเซียต้องการคือการปฏิรูประบบทั้งหมด การยกระดับ มาตรฐานความปลอดภัยอาคาร ให้ทัดเทียมนานาชาติ, การสร้างกลไกการตรวจสอบที่โปร่งใสและเข้มงวด, และที่สำคัญที่สุดคือการต่อสู้กับการ ทุจริตคอร์รัปชัน ในทุกระดับอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
ชะตากรรมของเด็กๆ 36 ชีวิตที่ต้องจบลงอย่างน่าสลดใต้ซากอาคาร จะต้องไม่สูญเปล่า โศกนาฏกรรมครั้งนี้ต้องเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้อินโดนีเซียหันมาให้ความสำคัญกับ “ชีวิต” ของประชาชน มากกว่า “ผลประโยชน์” ของคนเพียงไม่กี่กลุ่ม เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดนี้ต้องซ้ำรอยอีกต่อไป
แหล่งที่มาจาก : am2con