โดรนรัสเซียโจมตีสถานีรถไฟยูเครน ท่ามกลางเสียงไซเรนเตือนภัยทางอากาศที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน สงครามในยูเครนได้จารึกโศกนาฏกรรมบทใหม่ขึ้นอีกครั้ง เมื่อสถานีรถไฟแห่งหนึ่งในภาคกลางของประเทศต้องกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีด้วยโดรนของรัสเซีย ส่งผลให้มีพนักงานรถไฟเสียชีวิตอย่างน้อย 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีกกว่า 30 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือนที่กำลังรอการเดินทาง การโจมตีครั้งนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยวหรือเป็นเพียงความผิดพลาด แต่เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของยุทธศาสตร์การบ่อนทำลาย (War of Attrition) ที่รัสเซียใช้ต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของยูเครน ตัดเส้นทางโลจิสติกส์ และสร้างความหวาดกลัวแก่พลเรือน เพื่อบั่นทอนขวัญกำลังใจและความสามารถในการยืนหยัดของประเทศในระยะยาว
โดรนรัสเซียโจมตีสถานีรถไฟยูเครน ความโกลาหล ณ ชานชาลา เมื่อโครงสร้างพื้นฐานพลเรือนตกเป็นเป้าหมาย
ตามรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่ง เช่น Reuters และ Associated Press (AP) เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงเช้าตรู่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีผู้คนพลุกพล่าน โดรนพลีชีพที่เชื่อว่าเป็นรุ่น “Shahed” ซึ่งผลิตโดยอิหร่านและรัสเซียนำมาใช้งานอย่างแพร่หลาย ได้พุ่งเข้าโจมตีบริเวณอาคารผู้โดยสารและรางรถไฟอย่างจัง แรงระเบิดได้ฉีกกระชากโครงสร้างอาคารและขบวนรถไฟที่จอดเทียบชานชาลา ทำให้เกิดไฟลุกท่วมและกลุ่มควันดำพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ภาพที่ปรากฏต่อสายตาชาวโลกคือความโกลาหลวุ่นวาย หน่วยกู้ภัยเร่งเข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง ขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงพยายามควบคุมเพลิงไหม้ เสียงร้องไห้และเสียงตะโกนดังก้องไปทั่วบริเวณ ผู้เสียชีวิตเป็นพนักงานการรถไฟที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ส่วนผู้บาดเจ็บประกอบด้วยผู้โดยสารและประชาชนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
“มันคือฝันร้าย พวกเราแค่กำลังจะเดินทางไปเยี่ยมญาติ แล้วทันใดนั้นท้องฟ้าก็ถล่มลงมา” ผู้รอดชีวิตรายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับนักข่าวท้องถิ่นด้วยน้ำตานองหน้า “นี่ไม่ใช่ฐานทัพทหาร ที่นี่มีแต่คนแก่ ผู้หญิง และเด็ก ทำไมพวกเขาถึงทำกับเราแบบนี้?”
ประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelenskyy) ได้ออกมาประณามการกระทำดังกล่าวอย่างรุนแรง โดยระบุว่านี่คือ “การก่อการร้ายที่มุ่งเป้าต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์” และเป็นการตอกย้ำว่ารัสเซียไม่สนใจกฎหมายสงครามระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น
ถอดรหัสยุทธศาสตร์เบื้องหลัง ทำไมรัสเซียถึงโจมตีสถานีรถไฟยูเครน?
การเลือกโจมตีสถานีรถไฟไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ในบริบทของ สงครามยูเครนล่าสุด โครงข่ายทางรถไฟมีความสำคัญเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงประเทศในทุกมิติ การโจมตีเป้าหมายนี้จึงเป็นการคำนวณมาอย่างดีเพื่อสร้างผลกระทบในวงกว้าง
- ตัดเส้นทางโลจิสติกส์ทางทหาร แม้จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานพลเรือน แต่เส้นทางรถไฟก็ถูกใช้ในการลำเลียงยุทโธปกรณ์ กำลังเสริม และเสบียงไปยังแนวหน้า การโจมตีสถานีรถไฟและรางรถไฟจึงเป็นการขัดขวางการส่งกำลังบำรุงของกองทัพยูเครนโดยตรง
- ขัดขวางความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม รถไฟเป็นช่องทางหลักในการอพยพพลเรือนออกจากพื้นที่สู้รบและลำเลียงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เช่น อาหารและยา เข้าไปยังพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ การทำให้ระบบรถไฟเป็นอัมพาตจึงเป็นการซ้ำเติมความทุกข์ยากของประชาชน
- ทำลายเศรษฐกิจ ระบบรางคือหัวใจสำคัญของการขนส่งสินค้าและวัตถุดิบทางอุตสาหกรรม การโจมตีซ้ำๆ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล และบั่นทอนความสามารถในการฟื้นฟูประเทศของยูเครน
- สร้างความหวาดกลัวและบั่นทอนขวัญกำลังใจ การโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างโจ่งแจ้ง มีเป้าหมายทางจิตวิทยาที่ชัดเจน คือการสร้างความตระหนกตกใจและความรู้สึกไม่ปลอดภัยในหมู่ประชาชนทั่วไป เพื่อหวังผลให้เกิดความเหนื่อยล้าจากสงครามและกดดันให้รัฐบาลยูเครนยอมจำนน
ยุทธศาสตร์นี้สอดคล้องกับรูปแบบการโจมตีของรัสเซียตลอดช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานพลเรือน อื่นๆ เช่น โรงไฟฟ้า เครือข่ายโทรคมนาคม และท่าเรือส่งออกธัญพืช ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสงครามบ่อนทำลายที่ต้องการให้ยูเครนล่มสลายจากภายใน
อาชญากรรมสงคราม? เสียงประณามและกลไกยุติธรรมระหว่างประเทศ
ภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสัญญาเจนีวา การจงใจโจมตีพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร ถือเป็น อาชญากรรมสงคราม (War Crimes) การกระทำของรัสเซียครั้งนี้จึงจุดชนวนให้เกิดเสียงประณามจากทั่วโลก
สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันประณามการกระทำที่ “ป่าเถื่อน” และเรียกร้องให้มีการนำตัวผู้ที่รับผิดชอบเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ขณะที่คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้เริ่มกระบวนการรวบรวมหลักฐานเพื่อใช้ในการดำเนินคดีในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ การนำตัวผู้นำระดับสูงของรัสเซียมาลงโทษยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง เครมลิน (Kremlin) มักออกมาปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยอ้างว่าเป้าหมายที่โจมตีเป็น “เป้าหมายทางทหารที่ถูกต้องตามกฎหมาย” หรือเป็นผลมาจาก “ความผิดพลาดของระบบป้องกันภัยทางอากาศยูเครน” ซึ่งเป็นคำกล่าวอ้างที่ขัดแย้งกับหลักฐานที่ปรากฏอย่างสิ้นเชิง
“รูปแบบของการโจมตีที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชี้ให้เห็นถึงเจตนาที่ชัดเจนในการมุ่งเป้าไปที่พลเรือน” ตัวแทนจาก Human Rights Watch กล่าว “นี่ไม่ใช่ความเสียหายข้างเคียง (collateral damage) แต่มันคือยุทธศาสตร์หลัก และประชาคมโลกต้องไม่ปล่อยให้การกระทำเช่นนี้ผ่านไปโดยไม่มีใครต้องรับผิดชอบ”
ความท้าทายในการป้องกันและการฟื้นฟูที่ไม่สิ้นสุดของยูเครน
สำหรับยูเครน การป้องกันการโจมตีลักษณะนี้คือความท้าทายมหาศาล โดรน Shahed มีขนาดเล็ก บินในระดับต่ำ และมักถูกส่งมาโจมตีเป็นฝูง ทำให้ระบบป้องกันภัยทางอากาศตรวจจับและทำลายได้ยาก แม้ว่ายูเครนจะได้รับระบบป้องกันที่ทันสมัยจากชาติตะวันตกมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ ซึ่งมีขนาดใหญ่
สิ่งที่น่าทึ่งคือความสามารถในการฟื้นตัวของชาวยูเครน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานการรถไฟยูเครน (Ukrzaliznytsia) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “วีรบุรุษเหล็ก” พวกเขาทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ท่ามกลางความเสี่ยง เพื่อซ่อมแซมรางรถไฟและสถานีที่เสียหายให้กลับมาใช้งานได้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้ “เส้นเลือดใหญ่” ของประเทศยังคงไหลเวียนต่อไปได้
ยูเครนจะตอบโต้การโจมตีอย่างไร? นอกจากการป้องกันแล้ว ยูเครนยังคงเดินหน้าเรียกร้องการสนับสนุนระบบป้องกันภัยทางอากาศเพิ่มเติม และการคว่ำบาตรที่รุนแรงขึ้นต่อรัสเซียและประเทศที่สนับสนุนการผลิตอาวุธ เช่น อิหร่าน เพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงในการก่ออาชญากรรมสงคราม
บทสรุป ต้นทุนของสงครามที่พลเรือนต้องแบกรับ
โดรนรัสเซียโจมตีสถานีรถไฟยูเครน เหตุการณ์ โดรนรัสเซียโจมตีสถานีรถไฟยูเครน ไม่ใช่เพียงตัวเลข ผู้เสียชีวิตในยูเครน ที่เพิ่มขึ้น แต่เป็นเครื่องยืนยันถึงลักษณะของสงครามยุคใหม่ที่เส้นแบ่งระหว่างแนวหน้ากับพื้นที่พลเรือนเลือนรางลงทุกขณะ มันแสดงให้เห็นว่าสงครามไม่ได้วัดผลกันแค่การยึดครองพื้นที่ แต่ยังรวมถึงการทำลายเจตจำนงในการต่อสู้ของคนทั้งชาติ
ตราบใดที่สงครามยังคงดำเนินต่อไป โครงสร้างพื้นฐานพลเรือนของยูเครนจะยังคงตกเป็นเป้าหมาย และพลเรือนจะยังคงต้องจ่ายในราคาที่สูงที่สุด การสนับสนุนจากนานาชาติในการจัดหาเครื่องมือป้องกันตนเองและการกดดันให้รัสเซียยุติการก่ออาชญากรรมสงคราม จึงไม่ใช่แค่เรื่องทางยุทธศาสตร์ แต่เป็นเรื่องของมนุษยธรรมที่ไม่อาจเพิกเฉยได้
แหล่งที่มาจาก : am2con