วิกฤตศรัทธา “ร้านขายยาของโลก” ยาน้ำแก้ไออินเดีย สารอันตรายคร่าชีวิตเด็กซ้ำรอย สั่นคลอนอุตสาหกรรมยาแสนล้าน

ยาน้ำแก้ไออินเดีย สารอันตราย

ยาน้ำแก้ไออินเดีย สารอันตราย โศกนาฏกรรมสั่นสะเทือนแวดวงสาธารณสุขโลกอีกครั้ง เมื่อทางการอินเดียกำลังเร่งสอบสวนกรณีการเสียชีวิตอย่างน่าสลดของเด็กอย่างน้อย 9 ราย ซึ่งต้องสงสัยว่ามีส่วนเชื่อมโยงโดยตรงกับการบริโภคยาน้ำแก้ไอล็อตล่าสุดที่ผลิตภายในประเทศ หลังผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบการปนเปื้อนของสารเคมีเกรดอุตสาหกรรมที่เป็นพิษร้ายแรง เหตุการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำรอย แต่ยังเป็นเชื้อไฟที่โหมกระพือวิกฤตความเชื่อมั่นครั้งใหญ่ต่อสถานะของอินเดียในฐานะ “ร้านขายยาของโลก” (Pharmacy of the World) และกำลังส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วห่วงโซ่อุปทานยาของโลก ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจอย่างประเมินค่าไม่ได้

Cough syrup deaths: Why drugs made in India are sparking safety concerns

ยาน้ำแก้ไออินเดีย สารอันตราย เจาะลึกต้นตอโศกนาฏกรรม เมื่อ “ยา” กลายเป็น “ยาพิษ”

รายงานล่าสุดจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้หลายแห่ง ยืนยันว่าสารอันตรายที่ตรวจพบในยาน้ำแก้ไอคือ ไดเอทิลีนไกลคอล (Diethylene Glycol – DEG) และ เอทิลีนไกลคอล (Ethylene Glycol – EG) ซึ่งเป็นสารเคมีราคาถูกที่มักใช้เป็นตัวทำละลายในอุตสาหกรรม เช่น หมึกพิมพ์ หรือน้ำยาหล่อเย็นในรถยนต์ แต่กลับถูกนำมาใช้แทนโพรพิลีนไกลคอล (Propylene Glycol) ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ปลอดภัยในอุตสาหกรรมยา เนื่องจากมีลักษณะทางกายภาพที่คล้ายคลึงกันแต่มีต้นทุนต่ำกว่ามาก

การบริโภคสารพิษเหล่านี้แม้ในปริมาณเพียงเล็กน้อย สามารถส่งผลกระทบร้ายแรงต่อร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะในเด็ก ซึ่งมีร่างกายที่เปราะบางกว่ามาก อาการเบื้องต้นจะเริ่มจากปวดท้อง อาเจียน ท้องร่วง ไปจนถึงภาวะปัสสาวะไม่ออก และนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในที่สุด

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาแสดงความกังวลอย่างสูงสุดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าประสานงานกับ องค์การควบคุมมาตรฐานยาแห่งชาติของอินเดีย (Central Drugs Standard Control Organisation – CDSCO) เพื่อติดตามและสืบสวนหาต้นตอของการปนเปื้อนอย่างเร่งด่วนที่สุด

“การตรวจพบสารปนเปื้อนอย่าง DEG และ EG ในผลิตภัณฑ์ยาสำหรับเด็ก ถือเป็นความล้มเหลวทางสาธารณสุขที่ไม่อาจยอมรับได้ เรากำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับทางการอินเดียเพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของผลิตภัณฑ์อันตรายเหล่านี้” แถลงการณ์ส่วนหนึ่งจากโฆษกของ WHO ระบุ

ขณะนี้โรงงานของผู้ผลิตยาที่ต้องสงสัยได้ถูกสั่งปิดชั่วคราวเพื่อทำการสอบสวน และมีการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ต้องสงสัยทั้งหมดออกจากตลาดแล้ว แต่คำถามสำคัญที่ประชาคมโลกกำลังจับตามองคือ เหตุใดโศกนาฏกรรมเช่นนี้จึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ภาพย้อนอดีตที่เจ็บปวด บทเรียนที่ไม่เคยถูกจดจำ

เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ยาน้ำแก้ไอเป็นพิษ จากอินเดียสร้างความสูญเสียใหญ่หลวง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกได้เห็นโศกนาฏกรรมที่คล้ายคลึงกันมาแล้วหลายครั้ง

  • แกมเบีย (ปี 2022) เด็กอย่างน้อย 70 รายเสียชีวิตจากภาวะไตวายเฉียบพลัน หลังบริโภคยาน้ำแก้ไอและพาราเซตามอลที่ผลิตโดยบริษัท Maiden Pharmaceuticals ของอินเดีย ซึ่งภายหลัง WHO ยืนยันว่ามีการปนเปื้อนของ DEG และ EG ในระดับสูง
  • อุซเบกิสถาน (ปี 2022) เด็กเกือบ 20 รายเสียชีวิตจากเหตุการณ์คล้ายกัน โดยเชื่อมโยงกับยาน้ำแก้ไอที่ผลิตโดยบริษัท Marion Biotech ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผู้ผลิตจากอินเดีย
  • อินโดนีเซีย (ปี 2022) แม้ผู้ผลิตส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทท้องถิ่น แต่พบว่าวัตถุดิบตัวทำละลายที่ปนเปื้อนสารพิษบางส่วนถูกนำเข้ามาจากอินเดีย ส่งผลให้มีเด็กเสียชีวิตกว่า 200 ราย

การเกิดเหตุซ้ำรอยอย่างต่อเนื่องได้ทำลายความน่าเชื่อถือของอุตสาหกรรมยาอินเดียอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกในเชิงปริมาณ และครองสัดส่วนการผลิตยาสามัญ (Generic Drugs) กว่า 20% ของทั้งโลก รวมถึงเป็นผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุด คิดเป็น 60% ของวัคซีนที่จำหน่ายทั่วโลก สถานะ “ร้านขายยาของโลก” ที่อินเดียภาคภูมิใจ กำลังถูกท้าทายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

India probes possible cough syrup link to deaths of nine children | Reuters

ผลกระทบวงกว้าง จากวิกฤตสาธารณสุขสู่วิกฤตเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์

ผลกระทบจาก สารปนเปื้อนในยา ครั้งนี้ ขยายวงกว้างเกินกว่ามิติของสาธารณสุข แต่กำลังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ในหลายมิติ

  1. เศรษฐกิจและการส่งออก อุตสาหกรรมยาของอินเดียมีมูลค่าการส่งออกกว่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หลายประเทศ โดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และละตินอเมริกา พึ่งพายาสามัญราคาถูกจากอินเดียเป็นหลัก วิกฤตความเชื่อมั่นนี้อาจทำให้หลายประเทศทบทวนนโยบายการนำเข้ายา หันไปหาแหล่งผลิตอื่น เช่น จีน หรือแม้กระทั่งลงทุนสร้างโรงงานผลิตยาในประเทศของตนเอง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้มหาศาลของอินเดีย
  2. ภูมิรัฐศาสตร์และ Soft Power การเป็น “ร้านขายยาของโลก” คือหนึ่งในเครื่องมือ Soft Power ที่สำคัญที่สุดของอินเดียในการสร้างสัมพันธ์กับนานาชาติ โดยเฉพาะกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา การส่งมอบยาและวัคซีนราคาถูกในช่วงวิกฤตการณ์ต่างๆ เช่น การระบาดของโควิด-19 ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้อินเดียในเวทีโลก แต่บัดนี้ภาพลักษณ์ดังกล่าวได้มัวหมองลง และอาจเปิดช่องให้คู่แข่งอย่างจีนเข้ามามีบทบาทในตลาดสุขภาพโลกมากยิ่งขึ้น
  3. ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ไม่เพียงแต่ในต่างประเทศ แม้แต่ผู้บริโภคภายในอินเดียเองก็เริ่มตั้งคำถามต่อคุณภาพและความปลอดภัยของยาที่ผลิตในประเทศ ความหวาดระแวงนี้อาจส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขโดยรวม เมื่อประชาชนขาดความเชื่อมั่นในยารักษาโรค

รากเหง้าของปัญหา ช่องโหว่เชิงโครงสร้างที่รอการแก้ไข

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซากนั้นหยั่งรากลึกอยู่ในโครงสร้างการกำกับดูแลและห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมยาอินเดีย ซึ่งประกอบด้วยหลายปัจจัยที่ซับซ้อน

  • การกำกับดูแลที่ไม่ทั่วถึง อินเดียมีระบบการกำกับดูแลยาที่ซับซ้อนและกระจัดกระจาย โดยอำนาจถูกแบ่งระหว่างรัฐบาลกลาง (CDSCO) และหน่วยงานระดับรัฐ ทำให้มาตรฐานการบังคับใช้กฎหมายไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะกับผู้ผลิตขนาดกลางและขนาดเล็กหลายพันรายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
  • ปัญหาในห่วงโซ่อุปทานวัตถุดิบ การตรวจสอบคุณภาพของวัตถุดิบ (Raw Materials) ยังมีช่องโหว่ ผู้ผลิตยาบางรายอาจจัดซื้อวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์ที่ไม่มีคุณภาพเพื่อลดต้นทุน ซึ่งเป็นจุดที่ สารปนเปื้อนในยา อย่าง DEG และ EG สามารถเล็ดลอดเข้ามาในกระบวนการผลิตได้
  • การลงโทษที่ไม่รุนแรงพอ บทลงโทษสำหรับบริษัทที่ผลิตยาที่ไม่ได้มาตรฐานมักไม่รุนแรงพอที่จะสร้างความเกรงกลัว หลายกรณีจบลงด้วยการจ่ายค่าปรับหรือการ吊销ใบอนุญาตเพียงชั่วคราว ทำให้ปัญหาไม่ถูกแก้ไขที่ต้นตอ
  • แรงกดดันด้านราคา การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดยาสามัญโลก ทำให้ผู้ผลิตอินเดียจำนวนมากอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาลในการผลิตยาให้มีราคาถูกที่สุด ซึ่งอาจนำไปสู่การลดขั้นตอนหรือใช้ส่วนผสมที่ไม่ได้มาตรฐานเพื่อลดต้นทุน

รัฐบาลอินเดียดำเนินการอะไรบ้าง? หลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากนานาชาติ รัฐบาลอินเดียได้เริ่มใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้น เช่น การบังคับให้ผู้ส่งออกยาน้ำแก้ไอทุกรายต้องส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ไปตรวจสอบและรับใบรับรองคุณภาพจากห้องปฏิบัติการของรัฐบาลก่อนการส่งออก อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์มองว่านี่เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และสิ่งที่จำเป็นอย่างเร่งด่วนคือการปฏิรูประบบการกำกับดูแลทั้งระบบ ตั้งแต่การตรวจสอบวัตถุดิบไปจนถึงกระบวนการผลิตขั้นสุดท้าย

Toxic Cough Syrup Scare: What Went Wrong And Why All Syrups Aren't Unsafe

บทสรุป อนาคตบนเส้นด้ายของอุตสาหกรรมยาอินเดีย

ยาน้ำแก้ไออินเดีย สารอันตราย โศกนาฏกรรมจาก ยาน้ำแก้ไออินเดีย สารอันตราย ที่คร่าชีวิตเด็กผู้บริสุทธิ์ครั้งล่าสุดนี้ เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดังที่สุดสำหรับรัฐบาลและอุตสาหกรรมยาของอินเดีย การสืบสวนและลงโทษผู้กระทำผิดเป็นเพียงก้าวแรก แต่ความท้าทายที่แท้จริงคือการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อปิดช่องโหว่ทั้งหมดและฟื้นฟูความเชื่อมั่นที่สูญเสียไปกลับคืนมา

อนาคตของสถานะ “ร้านขายยาของโลก” ของอินเดียแขวนอยู่บนเส้นด้าย หากไม่สามารถสร้างความมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ได้ โลกอาจต้องหันไปพึ่งพาแหล่งผลิตยาอื่น ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของอินเดียเท่านั้น แต่ยังอาจหมายถึงการเข้าถึงยาราคาถูกของประชากรหลายร้อยล้านคนทั่วโลกที่จะยากลำบากยิ่งขึ้น โลกกำลังจับตามองว่าอินเดียจะสามารถเรียนรู้จากบทเรียนที่แสนเจ็บปวดครั้งนี้ และก้าวข้ามวิกฤตศรัทธาครั้งประวัติศาสตร์นี้ไปได้หรือไม่

 

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *