กล้อง AI ฮ่องกง: จุดเปลี่ยนสู่ “รัฐสอดแนม” หรือก้าวสู่ “เมืองอัจฉริยะ”? อนาคตที่สั่นคลอนของศูนย์กลางการเงินแห่งเอเชีย

กล้อง AI ฮ่องกง

กล้อง AI ฮ่องกง รัฐบาลฮ่องกงภายใต้การนำของนาย จอห์น ลี กา-ชิว ได้ประกาศแผนการครั้งประวัติศาสตร์ในการติดตั้งเครือข่ายกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ (AI CCTV) นับหมื่นเครื่องทั่วทุกเขตแดน โดยชูเหตุผลด้านการรักษาความปลอดภัยและป้องกันอาชญากรรม อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่นี้ได้จุดชนวนความขัดแย้งครั้งใหม่ระหว่างวิสัยทัศน์ “เมืองอัจฉริยะ” ที่รัฐบาลวาดฝัน กับฝันร้าย “รัฐแห่งการสอดแนม” ที่นักสิทธิมนุษยชนและประชาคมธุรกิจระหว่างประเทศหวาดวิตก การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางสังคมของฮ่องกงไปตลอดกาล แต่ยังอาจเป็นตัวชี้วัดอนาคตสถานะศูนย์กลางการเงินและการลงทุนของเอเชียที่กำลังสั่นคลอนอย่างหนัก ภายใต้ร่มเงาของ กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฮ่องกง ที่เพิ่มความเข้มข้นขึ้นทุกวัน

Hong Kong to install surveillance cameras with AI facial recognition

กล้อง AI ฮ่องกง “ดวงตาแห่งท้องฟ้า” เจาะลึกแผนติดตั้งเครือข่าย CCTV AI ของฮ่องกง

แผนการที่รัฐบาลฮ่องกงประกาศออกมานั้น มีความชัดเจนทั้งในด้านขนาดและขอบเขตของโครงการ ถือเป็นการยกระดับการ เฝ้าระวังมวลชน (Mass Surveillance) ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ฮ่องกงกลับคืนสู่การปกครองของจีน

  • ใคร รัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกง นำโดยนาย จอห์น ลี กา-ชิว ผู้บริหารสูงสุด
  • ทำอะไร ประกาศแผนติดตั้งกล้อง CCTV ฮ่องกง ชุดใหม่กว่า 2,000 ตัวภายในสิ้นปีนี้ และตั้งเป้าขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมทั่วทั้งเกาะอีกนับหมื่นตัวในระยะต่อไป โดยกล้องเหล่านี้จะติดตั้งเทคโนโลยี ระบบจดจำใบหน้า ฮ่องกง และ AI วิเคราะห์พฤติกรรม
  • ที่ไหน จะถูกติดตั้งในพื้นที่สาธารณะที่มีความสำคัญ เช่น สถานีรถไฟ MTR, จัตุรัสสาธารณะ, ย่านธุรกิจสำคัญ และบริเวณอาคารราชการ
  • เมื่อไหร่ เริ่มเฟสแรกทันทีและคาดว่าจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมภายในกลางปี 2569
  • ทำไม รัฐบาลให้เหตุผลว่าเพื่อ “ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมอย่างมีประสิทธิภาพ” และ “ยกระดับการบริหารจัดการเมือง” ให้เป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City)
  • อย่างไร แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายชื่อบริษัทผู้รับสัมปทาน แต่คาดการณ์ว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนที่เชี่ยวชาญด้าน AI และการสอดแนม เช่น SenseTime และ Megvii จะเป็นตัวเต็งสำคัญ

จาก “โครงการสกايเน็ต” สู่ท่าเรือวิคตอเรีย อิทธิพลจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ปฏิเสธไม่ได้

เป็นไปไม่ได้ที่จะมองแผนการนี้โดยไม่เปรียบเทียบกับ โครงการสกايเน็ต (Skynet Project) ของจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเป็นเครือข่ายกล้องวงจรปิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนกล้องกว่า 600 ล้านตัวที่เชื่อมต่อกับ AI เพื่อเฝ้าระวังและให้คะแนนพฤติกรรมของพลเมือง (Social Credit System)

นักวิเคราะห์จาก The Economist ชี้ว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในฮ่องกงคือการนำโมเดลการควบคุมทางเทคโนโลยีของปักกิ่งมาปรับใช้… มันคือสัญญาณที่ชัดเจนว่า ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’ กำลังถูกหลอมรวมเข้าสู่ระบบเดียวอย่างรวดเร็ว” การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ถูกมองว่าเป็นการต่อยอดจากการบังคับใช้ กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฮ่องกง และกฎหมาย Article 23 ที่ให้อำนาจรัฐอย่างกว้างขวางในการปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมือง

Hong Kong to install surveillance cameras with AI facial recognition | The  Straits Times

เสียงสองขั้ว “ความปลอดภัย” ของรัฐบาล VS “สิทธิความเป็นส่วนตัว” ของประชาชน

การประกาศแผนนี้ได้สร้างความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

  • มุมมองของรัฐบาล นายจอห์น ลี กล่าวย้ำในที่ประชุมสภานิติบัญญัติว่า “เทคโนโลยีจะช่วยให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว พลเมืองที่เคารพกฎหมายไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว”
  • มุมมองของนักสิทธิมนุษยชน องค์กร Human Rights Watch ออกแถลงการณ์เตือนว่า “นี่คือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการกดขี่ในยุคดิจิทัล มันจะสร้าง ‘Chilling Effect’ หรือบรรยากาศแห่งความกลัวที่ทำให้ประชาชนไม่กล้าแสดงออกทางการเมือง การชุมนุม หรือแม้แต่การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล” ผลกระทบของระบบจดจำใบหน้าต่อสิทธิมนุษยชน คือการลิดรอน สิทธิความเป็นส่วนตัว และเสรีภาพในการแสดงออกโดยตรง

ผลกระทบต่อสถานะ “ศูนย์กลางการเงินเอเชีย” เมื่อความเชื่อมั่นสั่นคลอน

ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในสายตาประชาคมโลกคือ ฮ่องกงยังเป็นศูนย์กลางการเงินเอเชียหรือไม่?

  • ความกังวลของนักลงทุนต่างชาติ หอการค้าอเมริกันในฮ่องกง (AmCham) ได้แสดง “ความกังวลอย่างยิ่ง” ต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและการเฝ้าระวัง โดยชี้ว่าความไม่แน่นอนในการบังคับใช้กฎหมายและการปกป้องข้อมูลอาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ
  • การไหลออกของบุคลากรและเงินทุน รายงานจาก Bloomberg ชี้ว่านับตั้งแต่มีการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงฯ มีแนวโน้มที่บริษัทข้ามชาติจะย้ายสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคออกจากฮ่องกงไปยังสิงคโปร์มากขึ้น การติดตั้งเครือข่ายเฝ้าระวังมวลชนอาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เร่งกระบวนการดังกล่าว
  • ความปลอดภัยของข้อมูล คำถามสำคัญคือ ข้อมูลที่เก็บจากกล้อง AI เหล่านี้จะถูกจัดเก็บอย่างไร? จะมีการส่งต่อไปยังรัฐบาลกลางที่ปักกิ่งหรือไม่? ความคลุมเครือในประเด็นนี้เป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่ต้องรักษาความลับของลูกค้า

Hong Kong to install surveillance cameras with AI facial recognition |  Macau Business

เทคโนโลยีจดจำใบหน้าทำงานอย่างไร และเหตุใดจึงน่ากังวล?

เพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น กล้อง AI ในฮ่องกงทำงานอย่างไร?

  1. การจับภาพ (Capture) กล้องความละเอียดสูงจะจับภาพใบหน้าของผู้คนในพื้นที่สาธารณะ
  2. การวิเคราะห์ (Analysis) AI จะวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะบนใบหน้า (Biometric Data) เช่น ระยะห่างระหว่างดวงตา โครงสร้างกระดูกแก้ม
  3. การเปรียบเทียบ (Comparison) ข้อมูลที่ได้จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งฐานข้อมูลอาชญากร หรือฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร
  4. การระบุตัวตน (Identification) ระบบสามารถระบุตัวตนของบุคคลได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที และสามารถติดตามการเคลื่อนไหวของบุคคลนั้นๆ ไปทั่วทั้งเครือข่าย ความน่ากังวลคือเทคโนโลยีนี้อาจถูกใช้เพื่อติดตามนักกิจกรรมทางการเมือง นักข่าว หรือใครก็ตามที่รัฐมองว่าเป็น “ภัยต่อความมั่นคง”

[บทสรุป (Conclusion)] กล้อง AI ฮ่องกง ฮ่องกงกำลังยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญ การตัดสินใจเดินหน้าโครงการ กล้อง AI ฮ่องกง คือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่อาจต้องแลก สิทธิความเป็นส่วนตัว และเสรีภาพของประชาชนกับ “ความปลอดภัย” ที่รัฐบาลนิยาม ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวนี้ก็กำลังทดสอบความเชื่อมั่นของประชาคมโลกที่มีต่อฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการเงินที่เคยเปิดกว้างและมีเสรีภาพ โลกกำลังจับตามองว่า “ไข่มุกแห่งตะวันออก” ดวงนี้ จะเลือกที่จะส่องสว่างด้วยนวัตกรรมเพื่อพลเมือง หรือจะยอมจำนนต่อเงามืดแห่งการสอดส่องที่คืบคลานเข้ามา

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *