กำไรโตโยต้าฮอนด้า วิเคราะห์ “พายุ 2 ลูก” เยนแข็ง-ภาษีทรัมป์ ที่อาจทำให้ราคารถในไทยไม่เหมือนเดิม
โตเกียว/วอชิงตัน/กรุงเทพฯ – หลังจากเพิ่งฉลองผลประกอบการที่พุ่งทะยานสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงปีที่ผ่านมา สองยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นอย่าง Toyota Motor Corporation และ Honda Motor Co., Ltd. กำลังเผชิญกับ “พายุสมบูรณ์แบบ” (A Perfect Storm) ที่ก่อตัวขึ้นจากสองฟากฝั่งของมหาสมุทรแปซิฟิก พายุลูกแรกคือ ค่าเงินเยนที่แข็งค่า ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพร้อมจะกัดกร่อนผลกำไรมหาศาลที่ได้จากตลาดต่างประเทศ และพายุอีกลูกคือแรงกดดันจากนโยบาย “ภาษีทรัมป์ 2.0” ที่อาจกลับมาสร้างกำแพงการค้าครั้งใหม่หาก โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ปรากฏการณ์ระดับโลกทั้งสองนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่กำลังส่งแรงสั่นสะเทือนโดยตรงมายัง ตลาดรถยนต์ไทย ซึ่งเป็นทั้งฐานการผลิตและตลาดผู้บริโภคที่สำคัญของทั้งสองแบรนด์ บทความนี้จะวิเคราะห์เจาะลึกถึงแก่นของปัญหา ว่าเหตุใดสองปัจจัยนี้จึงเป็นฝันร้ายของค่ายรถญี่ปุ่น และที่สำคัญที่สุดคือ มันจะส่งผลกระทบต่อ “กระเป๋าเงิน” ของผู้บริโภคชาวไทยอย่างไร ราคารถยนต์ปี 2568 จะแพงขึ้นจริงหรือไม่? และเราจะได้เห็นกลยุทธ์อะไรจากโตโยต้าและฮอนด้าเพื่อรับมือกับวิกฤตที่กำลังจะมาถึง
แม้จะครองตำแหน่งผู้นำในตลาดโลก แต่ชะตากรรมของ กำไรโตโยต้าฮอนด้า กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายของปัจจัยมหภาคที่ควบคุมไม่ได้ นั่นคือแนวโน้มการแข็งค่าของเงินเยนที่ทำให้รายรับในสกุลเงินต่างประเทศมีมูลค่าลดลงเมื่อแปลงกลับเป็นเงินเยน และภัยคุกคามจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่อาจทำให้ต้นทุนการส่งออกและจำหน่ายรถยนต์ในตลาดที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาสูงขึ้นอย่างมหาศาล แรงกดดันสองด้านนี้อาจบีบให้ทั้งสองบริษัทต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่มาถึงกลยุทธ์การกำหนดราคา, การเปิดตัวรถรุ่นใหม่, และการลงทุนในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถอดรหัส “กำไรที่เปราะบาง” ทำไมค่ายรถญี่ปุ่นถึงกลัวเงินเยนแข็งค่า?
สำหรับคนทั่วไป “เงินแข็ง” อาจฟังดูเป็นเรื่องดี แต่สำหรับบริษัทผู้ส่งออกอย่างโตโยต้าและฮอนด้า มันคือปัจจัยที่สร้างความปวดหัวอย่างยิ่ง เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีฐานการผลิตหลักในญี่ปุ่นและส่งออกรถยนต์ไปทั่วโลก รวมถึงมีรายได้จากยอดขายนอกประเทศเป็นสัดส่วนที่สูงมาก
กลไกการกัดกร่อนกำไรเกิดขึ้นง่ายๆ ดังนี้
- สมมติฐาน โตโยต้าขายรถยนต์ Camry ในสหรัฐฯ ราคา 30,000 ดอลลาร์
- กรณีเยนอ่อน ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 150 เยนต่อ 1 ดอลลาร์ เมื่อแปลงรายรับกลับมาเป็นเงินเยน โตโยต้าจะได้เงิน 30,000×150=4,500,000 เยน
- กรณีเยนแข็ง หาก ค่าเงินเยนแข็งค่า ขึ้นเป็น 130 เยนต่อ 1 ดอลลาร์ รายรับก้อนเดิมที่ 30,000 ดอลลาร์ จะแปลงกลับมาได้เพียง 30,000×130=3,900,000 เยน
จะเห็นได้ว่า รายรับในรูปเงินเยนหายไปถึง 600,000 เยนต่อคัน ทั้งที่ขายรถได้ในราคาดอลลาร์เท่าเดิม เมื่อคูณด้วยจำนวนรถยนต์หลายล้านคันที่ขายทั่วโลก ตัวเลขกำไรที่หายไปจึงมีมูลค่ามหาศาล
H3 ตัวเลขที่ต้องจับตา 1 เยนที่เปลี่ยนไป สะเทือนกำไรกี่แสนล้าน?
ความอ่อนไหวต่อค่าเงินเยนของค่ายรถญี่ปุ่นนั้นสูงมาก นักวิเคราะห์ทางการเงินมักมี “กฎทั่วไป” (Rule of Thumb) ที่ใช้ประเมินผลกระทบนี้
- Toyota ทุกๆ 1 เยนที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ จะส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) ของโตโยต้าลดลงประมาณ 4.5 – 5.0 หมื่นล้านเยน (ประมาณ 1.2 – 1.3 หมื่นล้านบาท) ต่อปี
- Honda ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยทุก 1 เยนที่แข็งค่าขึ้นจะกระทบกำไรจากการดำเนินงานราว 1.2 – 1.4 หมื่นล้านเยน (ประมาณ 3.2 – 3.7 พันล้านบาท) ต่อปี
ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเพียงแค่ค่าเงินขยับเล็กน้อย ก็สามารถลบกำไรที่หามาได้อย่างยากลำบากให้หายไปในพริบตา นี่คือสาเหตุที่ ผลประกอบการค่ายรถญี่ปุ่น มักจะผันผวนไปตามทิศทางของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา
กำแพงภาษีทรัมป์ 2.0 นโยบายที่อาจเปลี่ยนเกมอุตสาหกรรมยานยนต์โลก
นอกเหนือจากปัจจัยด้านค่าเงิน อีกหนึ่งพายุที่กำลังก่อตัวคือความเป็นไปได้ในการกลับมาของนโยบาย ภาษีทรัมป์ หากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง นโยบายที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ
- ภาษีนำเข้าทั่วไป 10% (Baseline Tariff) ทรัมป์เคยประกาศแนวคิดที่จะตั้งกำแพงภาษี 10% กับสินค้านำเข้าทุกชนิดจากทุกประเทศโดยไม่มีข้อยกเว้น
- ภาษีตอบโต้ที่สูงขึ้น (Higher Retaliatory Tariffs) หากประเทศคู่ค้าตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ ทรัมป์ก็พร้อมจะขึ้นภาษีในอัตราที่สูงกว่าเดิม อาจสูงถึง 60% หรือมากกว่าสำหรับสินค้าจากบางประเทศ เช่น จีน
สำหรับโตโยต้าและฮอนด้า ซึ่งมีตลาดอเมริกาเหนือเป็นตลาดที่ใหญ่และทำกำไรได้มากที่สุด นโยบายนี้ถือเป็นภัยคุกคามโดยตรง แม้ทั้งสองบริษัทจะมีโรงงานผลิตขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา, แคนาดา และเม็กซิโก แต่พวกเขายังคงต้องนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญจำนวนมากจากญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทย การขึ้นภาษีจะทำให้ต้นทุนการผลิตในอเมริกาเหนือสูงขึ้นทันที
โตโยต้าและฮอนด้าในสมรภูมิอเมริกาเหนือ เดิมพันที่ใหญ่ที่สุด
- ยอดขาย ตลาดอเมริกาเหนือคิดเป็นสัดส่วนยอดขายประมาณ 30-40% ของยอดขายรวมทั่วโลกของทั้งสองบริษัท
- กำไร ที่สำคัญกว่านั้น คือกำไรต่อหน่วย (Profit per unit) ในตลาดนี้สูงกว่าภูมิภาคอื่นมาก เนื่องจากความนิยมในรถยนต์ขนาดใหญ่อย่าง SUV และรถกระบะซึ่งมีอัตรากำไรสูง
- ความเสี่ยง สงครามการค้า ครั้งใหม่จะบีบให้บริษัทต้องเลือกระหว่าง
- ผลักภาระให้ผู้บริโภค ด้วยการขึ้นราคารถยนต์ ซึ่งอาจทำให้เสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับคู่แข่ง
- ดูดซับต้นทุนไว้เอง ซึ่งจะทำให้ กำไรโตโยต้าฮอนด้า ลดลงอย่างฮวบฮาบ
นโยบายภาษีทรัมป์กระทบอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยไหม? คำตอบคือ “กระทบอย่างแน่นอน” เพราะไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่ซับซ้อนนี้
จากโตเกียวสู่กรุงเทพฯ ผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ไทยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
เมื่อยักษ์ใหญ่ระดับโลกเผชิญแรงกดดัน ผลกระทบย่อมส่งต่อมายังสาขาในประเทศต่างๆ รวมถึง ตลาดรถยนต์ไทย อย่างไม่อาจเลี่ยงพ้น โดยสามารถวิเคราะห์ผลกระทบได้หลายมิติ
ราคารถยนต์ 2568 จะแพงขึ้นจริงหรือ? วิเคราะห์สมการ CBU และ CKD
คำถามที่ผู้บริโภคชาวไทยอยากรู้ที่สุดคือ รถจะแพงขึ้นหรือไม่? คำตอบขึ้นอยู่กับประเภทของรถยนต์
- รถยนต์นำเข้าทั้งคัน (CBU – Completely Built Up)
- รถยนต์ที่นำเข้าจากญี่ปุ่นโดยตรง เช่น Lexus บางรุ่น, Toyota GR Yaris, Honda Civic Type R จะได้รับผลกระทบจาก ค่าเงินเยนแข็งค่า เต็มๆ
- แนวโน้ม มีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทแม่จะปรับราคาจำหน่ายในประเทศไทยขึ้น เพื่อชดเชยรายรับในรูปเงินเยนที่ลดลง
- รถยนต์ประกอบในประเทศ (CKD – Completely Knocked Down)
- รถยนต์ส่วนใหญ่ที่ขายในไทย เช่น Toyota Yaris, Corolla Cross, Honda City, HR-V แม้จะประกอบในประเทศ แต่ยังต้องนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญ (Powertrain, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์) จากญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆ
- แนวโน้ม ต้นทุนการนำเข้าชิ้นส่วนเหล่านี้จะสูงขึ้นจากค่าเงินเยนที่แข็งค่า และหากนโยบายภาษีทรัมป์ทำให้ต้นทุนชิ้นส่วนที่มาจากซัพพลายเออร์ในสหรัฐฯ แพงขึ้น ก็จะยิ่งซ้ำเติมเข้าไปอีก บริษัทอาจพยายามดูดซับต้นทุนไว้ในระยะสั้น แต่หากแรงกดดันไม่ลดลง การปรับขึ้นราคาขายปลีกก็เป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้
กลยุทธ์ตั้งรับของสองยักษ์ใหญ่ในไทย ลดสเปค? ชะลอเปิดตัว? หรือขึ้นราคา?
เมื่อเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น ค่ายรถยนต์มีทางเลือกในการรับมือหลายทาง ซึ่งผู้บริโภคอาจได้เห็นในปี 2568
- การปรับขึ้นราคา เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุด แต่ก็เสี่ยงต่อการเสียส่วนแบ่งตลาดให้คู่แข่ง โดยเฉพาะค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่กำลังมาแรง
- การลดต้นทุน อาจมาในรูปแบบของการ “ลดสเปค” หรือตัดออปชันบางอย่างในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เพื่อรักษาระดับราคาเดิมไว้
- การชะลอการเปิดตัวรุ่นใหม่ การเปิดตัวรถยนต์โมเดลเชนจ์ใหม่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล บริษัทอาจตัดสินใจยืดอายุโมเดลปัจจุบันออกไปก่อน เพื่อรอให้สถานการณ์คลี่คลาย
- การเน้นโปรโมชันส่งเสริมการขาย เพื่อรักษายอดขาย อาจมีการออกแคมเปญดอกเบี้ยต่ำ, ของแถม, หรือส่วนลดเงินสดที่ดุดันขึ้น แต่ก็จะเป็นการลดทอนกำไรของดีลเลอร์และบริษัท
สงครามยังไม่จบ ปัจจัยอื่นที่ต้องจับตาและแนวโน้มในอนาคต
นอกเหนือจากพายุ 2 ลูกใหญ่อย่างค่าเงินและภาษี กำไรโตโยต้าฮอนด้า ยังเผชิญความท้าทายอื่นๆ ที่ซ้อนทับกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็น
- การแข่งขันจากรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จีน ค่ายรถจีนกำลังรุกคืบเข้ามาในตลาดโลก รวมถึงไทย ด้วยรถ EV ที่มีราคาเข้าถึงง่ายและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ซึ่งเป็นการกดดันค่ายรถญี่ปุ่นโดยตรง
- ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน แม้จะดีขึ้นจากช่วงโควิด แต่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงสร้างความเสี่ยงต่อการขาดแคลนชิ้นส่วนสำคัญอย่างเซมิคอนดักเตอร์ได้เสมอ
- ต้นทุนวัตถุดิบ ราคาเหล็ก, อะลูมิเนียม, และแร่ธาตุสำหรับแบตเตอรี่ยังคงมีความผันผวนสูง
แนวโน้มตลาดรถยนต์ปี 2568 จึงเป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายและยากต่อการคาดการณ์
บทสรุป ปีแห่งการพิสูจน์ฝีมือ และการตัดสินใจของผู้บริโภค
สถานการณ์ของโตโยต้าและฮอนด้าในขณะนี้ เปรียบเสมือนเรือลำใหญ่ที่เคยล่องไปในทะเลที่สงบราบเรียบด้วยผลกำไรเป็นประวัติการณ์ แต่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางพายุที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากปัจจัยมหภาคอย่าง “ค่าเงินเยน” และ “ภาษีทรัมป์” ปี 2568 และปีถัดไป จะเป็นปีแห่งการพิสูจน์ฝีมือของผู้บริหารในการนำพาองค์กรผ่านพ้นความท้าทายเหล่านี้
สำหรับผู้บริโภคชาวไทย นี่คือช่วงเวลาที่ต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด การเปลี่ยนแปลงของนโยบายเศรษฐกิจโลกจะไม่ได้อยู่แค่ในหน้าหนังสือพิมพ์ แต่จะส่งผลโดยตรงต่อ ราคารถยนต์ 2568 และตัวเลือกในตลาด การตัดสินใจซื้อรถคันต่อไปอาจต้องพิจารณาปัจจัยเหล่านี้มากขึ้น เพราะ แนวโน้มตลาดรถยนต์ กำลังจะเข้าสู่ยุคแห่งความผันผวนครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แหล่งที่มาจาก : am2con