พริทอเรีย, แอฟริกาใต้ – ท่ามกลางสมรภูมิการค้าโลกที่ทวีความซับซ้อน แอฟริกาใต้กำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่นักวิเคราะห์เรียกว่า “พายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ” (A Perfect Economic Storm) สถานการณ์ที่ไม่ได้เป็นเพียงผลพวงระยะยาวจากกำแพงภาษีเหล็กในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ถูกซ้ำเติมด้วยภัยคุกคามครั้งใหม่ที่ใหญ่หลวงกว่า นั่นคือการอาจถูกปลดออกจากสิทธิประโยชน์ทางการค้าสำคัญยิ่งอย่าง AGOA โดยสหรัฐอเมริกา อันเนื่องมาจากจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ถูกมองว่าเอนเอียงไปทางรัสเซียและจีน วิกฤตครั้งนี้กำลังบีบคั้นให้รัฐบาลของประธานาธิบดี Cyril Ramaphosa ต้องเดิมพันครั้งใหญ่ ด้วยการเร่งหันหัวเรือทางเศรษฐกิจออกจากพึ่งพิงชาติตะวันตก และมุ่งหน้าสู่ตลาดใหม่อย่างกลุ่มประเทศ BRICS และเอเชีย เพื่อความอยู่รอด นี่คือจุดเริ่มต้นของ สงครามการค้าแอฟริกาใต้ ระลอกใหม่ที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าเศรษฐกิจของทั้งทวีป
บทความนี้จะวิเคราะห์เจาะลึกถึงรากของปัญหา ตั้งแต่บาดแผลเก่าจากภาษีนำเข้า ไปจนถึงแรงกดดันใหม่ที่สั่นคลอน เศรษฐกิจแอฟริกาใต้ ทั้งระบบ พร้อมสำรวจกลยุทธ์การดิ้นรนหาทางรอด และผลกระทบที่อาจส่งมาถึงประเทศไทย
มรดกภาษีเหล็ก บาดแผลแรกในสงครามการค้าแอฟริกาใต้
เพื่อทำความเข้าใจวิกฤตในปัจจุบัน เราต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของ สงครามการค้าแอฟริกาใต้ ระลอกแรก นั่นคือการประกาศใช้มาตรา 232 (Section 232) ของฝ่ายบริหารประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2018 ซึ่งเรียกเก็บ ภาษีนำเข้าสหรัฐ สำหรับเหล็กและอะลูมิเนียมจากหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงแอฟริกาใต้ ในอัตรา 25% และ 10% ตามลำดับ
แม้ว่าในภาพรวม การส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมของแอฟริกาใต้ไปยังสหรัฐฯ จะไม่ใช่สัดส่วนที่ใหญ่ที่สุด แต่มาตรการดังกล่าวได้สร้างผลกระทบเชิงสัญลักษณ์และเป็นรูปธรรมอย่างเจ็บปวด
- ต้นทุนที่สูงขึ้น ผู้ผลิตเหล็กของแอฟริกาใต้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ทันที
- การสูญเสียตำแหน่งงาน อุตสาหกรรม เหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งเคยเป็นรากฐานของเศรษฐกิจ ต้องลดขนาดการผลิตและปลดคนงานจำนวนมาก
- ความไม่แน่นอนทางการค้า กำแพงภาษีได้สร้างบรรยากาศของความไม่ไว้วางใจและทำให้ภาคธุรกิจลังเลที่จะลงทุนระยะยาว
บาดแผลจากมาตรการนี้ยังคงอยู่ และมันได้ปูทางไปสู่ความท้าทายที่ใหญ่กว่า เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพริทอเรียและวอชิงตันเริ่มสั่นคลอนจากประเด็นอื่น
AGOA เส้นเลือดใหญ่ที่กำลังจะถูกตัดด้วยมีดแห่งภูมิรัฐศาสตร์
หัวใจของวิกฤตการณ์ปัจจุบันอยู่ที่ข้อตกลง African Growth and Opportunity Act หรือ AGOA ซึ่งเป็นกฎหมายการค้าของสหรัฐฯ ที่มอบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (ปลอดภาษี) แก่สินค้ากว่า 6,000 รายการจากประเทศในภูมิภาคแอฟริกาใต้สะฮาราที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและธรรมาภิบาล
สำหรับแอฟริกาใต้ AGOA คือเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจมานานกว่าสองทศวรรษ
- มูลค่ามหาศาล การส่งออกภายใต้สิทธิ์ AGOA แอฟริกาใต้ มีมูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
- อุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุด โดยรถยนต์ที่ผลิตในแอฟริกาใต้ (จากแบรนด์ดังเช่น Ford, BMW, Mercedes-Benz) สามารถส่งออกไปแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ได้อย่างทัดเทียม คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ และสนับสนุนการจ้างงานกว่าแสนตำแหน่ง
- ภาคการเกษตร สินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว (ส้ม, เกรปฟรุต) และไวน์ ได้รับการยกเว้นภาษี ทำให้สามารถเจาะตลาดผู้บริโภคชาวอเมริกันได้
แต่สถานะ “เส้นเลือดใหญ่” นี้กำลังสั่นคลอนอย่างหนัก เมื่อสภาคองเกรสสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะทบทวนการให้สิทธิ์ AGOA แอฟริกาใต้ อย่างเข้มงวด โดยให้เหตุผลจากจุดยืนด้านนโยบายต่างประเทศของแอฟริกาใต้ที่ถูกมองว่าท้าทายผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เช่น การงดออกเสียงประณามรัสเซียในเวทีสหประชาชาติ และการเข้าร่วมซ้อมรบทางทะเลกับรัสเซียและจีน
ทางเลือกหรือทางรอด? แอฟริกาใต้หันหัวเรือสู่ BRICS และเอเชีย
เมื่อเผชิญแรงบีบจากชาติตะวันตก รัฐบาลของประธานาธิบดี Cyril Ramaphosa จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องดำเนินกลยุทธ์ “กระจายความเสี่ยง” อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายหลักคือกลุ่มประเทศ BRICS (บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, และแอฟริกาใต้เอง) และตลาดอื่นๆ ในเอเชีย
กลยุทธ์การหันเหทิศทาง (The Pivot Strategy)
- กระชับสัมพันธ์ BRICS แอฟริกาใต้ใช้สถานะการเป็นสมาชิก BRICS ให้เป็นประโยชน์สูงสุด โดยผลักดันข้อตกลงการค้าทวิภาคีกับจีนและอินเดียให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ แร่ธาตุ และสินค้าเกษตร
- ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (NDB) ส่งเสริมการใช้ธนาคารของกลุ่ม BRICS เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อลดการพึ่งพิงสถาบันการเงินตะวันตกอย่าง IMF และธนาคารโลก
- เจาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม ของแอฟริกาใต้ได้เริ่มส่งคณะผู้แทนการค้ามายังภูมิภาคอาเซียน รวมถึงประเทศไทย เพื่อสำรวจความเป็นไปได้ในการส่งออกสินค้าที่อาจเสียตลาดในสหรัฐฯ ไป เช่น ไวน์ ผลไม้ และชิ้นส่วนยานยนต์
- ข้อตกลงการค้าเสรีทวีปแอฟริกา (AfCFTA) เร่งรัดการใช้ประโยชน์จากตลาดภายในทวีปแอฟริกาเอง ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีประชากรรวมกันกว่า 1.3 พันล้านคน
นี่คือคำตอบของคำถามที่ว่า แอฟริกาใต้หาตลาดส่งออกใหม่ที่ไหน—พวกเขาไม่ได้มองหาแค่ที่เดียว แต่กำลังสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางเลือกขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เพื่อคานอำนาจและลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดียว
วิกฤตของเขา โอกาสของเรา? มุมมองจากประเทศไทย
การดิ้นรนของแอฟริกาใต้ใน สงครามการค้า ครั้งนี้ อาจส่งแรงกระเพื่อมมาถึงประเทศไทยในสองมิติที่แตกต่างกัน
- มิติของการแข่งขัน (Competition) หากแอฟริกาใต้สูญเสียสิทธิ์ AGOA จริง สินค้าเกษตรคุณภาพสูงอย่างไวน์และผลไม้รสเปรี้ยวจะทะลักเข้ามาหาตลาดใหม่ในเอเชียอย่างแน่นอน ซึ่งอาจเข้ามาแข่งขันโดยตรงกับสินค้าเกษตรของไทยในตลาดสำคัญ เช่น จีน ญี่ปุ่น และอาเซียน ผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันด้านราคาและคุณภาพที่สูงขึ้น
- มิติของโอกาส (Opportunity)
- การลงทุน ความไม่แน่นอนในแอฟริกาใต้อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติบางส่วน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ มองหาฐานการผลิตแห่งใหม่ที่มั่นคงกว่าในภูมิภาคอื่น ซึ่งประเทศไทยที่มีซัพพลายเชนยานยนต์ที่แข็งแกร่ง อาจกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
- การค้า ไทยอาจสามารถส่งออกสินค้าบางประเภทที่แอฟริกาใต้เคยนำเข้าจากสหรัฐฯ และยุโรปได้มากขึ้น หากแอฟริกาใต้หันมาทำการค้ากับกลุ่มประเทศเอเชียอย่างจริงจัง
- พันธมิตรในเวทีโลก ในฐานะประเทศขนาดกลางที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากมหาอำนาจเช่นกัน ไทยสามารถเรียนรู้บทเรียนจากกรณีของแอฟริกาใต้ในการสร้างสมดุลและดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เป็นอิสระ
(บทสรุป)
สงครามการค้าแอฟริกาใต้ ในปัจจุบัน มีความซับซ้อนเกินกว่าเรื่องกำแพงภาษี แต่เป็นภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกครั้งใหญ่ ที่การค้าและภูมิรัฐศาสตร์ถูกผูกโยงเข้าด้วยกันอย่างแยกไม่ออก การตัดสินใจของกรุงพริทอเรียในการ “หันเหทิศทาง” หนีจากแรงกดดันของสหรัฐฯ ไปสู่พันธมิตรใหม่อย่าง BRICS คือการเดิมพันครั้งสำคัญที่จะกำหนด อนาคตเศรษฐกิจแอฟริกาใต้ ในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า
สำหรับประเทศไทย วิกฤตของแอฟริกาใต้มอบทั้งบทเรียนและโอกาส มันคือสัญญาณเตือนให้เห็นถึงความเปราะบางของการพึ่งพาตลาดส่งออกหลักเพียงไม่กี่แห่ง และในขณะเดียวกันก็เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ทางการค้าและการลงทุน สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ ในโลกที่ขั้วอำนาจกำลังจัดทัพกันใหม่ ประเทศที่สามารถปรับตัวและกระจายความเสี่ยงได้ดีที่สุดเท่านั้น จึงจะสามารถยืนหยัดและเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน
แหล่งที่มาจาก : am2con