คาบสมุทรคัมชัตกา ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย กลับมาเป็นข่าวใหญ่ทั่วโลกอีกครั้ง หลังภูเขาไฟชิเวลุช หนึ่งในภูเขาไฟที่ทรงพลังที่สุดบนคาบสมุทร เกิดการปะทุอย่างรุนแรง พ่นเถ้าภูเขาไฟสูงขึ้นไปในชั้นบรรยากาศกว่า 15 กิโลเมตร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากเกิดแผ่นดินไหวรัสเซียขนาด 7.2 นอกชายฝั่ง จุดประกายคำถามสำคัญถึงความเชื่อมโยงของสองมหันตภัยทางธรรมชาติ บทความนี้จะพาไปวิเคราะห์ถึงกลไกทางวิทยาศาสตร์ที่อาจอธิบายปรากฏการณ์นี้, ผลกระทบฉับพลันต่ออุตสาหกรรมการบิน, และความสำคัญของ “วงแหวนแห่งไฟ” ที่ทำให้ดินแดนแห่งนี้ไม่เคยหลับใหล
เช้าวันนี้ (4 ส.ค. 2568) ทีมตอบสนองต่อการปะทุของภูเขาไฟคัมชัตกา หรือ KVERT (Kamchatka Volcanic Eruption Response Team) ได้ยกระดับการเตือนภัยการบินเป็น “รหัสสีแดง” ซึ่งเป็นระดับสูงสุด หลังดาวเทียมตรวจพบการ ภูเขาไฟปะทุ อย่างรุนแรงของ ภูเขาไฟชิเวลุช (Shiveluch) ซึ่งเป็นหนึ่งใน ภูเขาไฟคัมชัตกา ที่มีการเคลื่อนไหวมากที่สุด กลุ่ม เถ้าภูเขาไฟ ขนาดมหึมาได้แผ่ขยายปกคลุมพื้นที่เป็นวงกว้างและลอยสูงขึ้นไปถึงชั้นสตราโตสเฟียร์ คุกคามเส้นทางการบินพาณิชย์ที่เชื่อมต่อระหว่างทวีปเอเชียและอเมริกาเหนืออย่างรุนแรง
ความน่าสนใจของเหตุการณ์นี้ไม่ได้อยู่ที่การปะทุเพียงอย่างเดียว แต่เป็นช่วงเวลาที่เกิดขึ้น โดยเมื่อ 3 วันก่อน ได้เกิดเหตุ แผ่นดินไหวรัสเซีย ขนาด 7.2 แมกนิจูด บริเวณร่องลึกก้นสมุทรคูริล-คัมชัตกา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่ง สถานการณ์นี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักธรณีวิทยาทั่วโลกต่างจับตามองและตั้งสมมติฐานว่า คลื่นไหวสะเทือนจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่อาจเป็น “ตัวกระตุ้น” ที่ปลุกให้ยักษ์ใหญ่ใต้พิภพอย่างชิเวลุชตื่นขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด
ไขปริศนา แผ่นดินไหวทำให้ภูเขาไฟปะทุได้หรือไม่?
คำถามที่ว่า แผ่นดินไหวทำให้ภูเขาไฟปะทุได้หรือไม่ เป็นหัวข้อที่นักภูเขาไฟวิทยาศึกษามาอย่างยาวนาน และคำตอบคือ “มีความเป็นไปได้สูง” โดยมีกลไกที่เป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์รองรับอยู่หลายทฤษฎี ซึ่งอาจเกิดขึ้นพร้อมกันได้
- การสั่นสะเทือนของห้องหินหนืด (Magma Chamber Oscillation) คลื่นไหวสะเทือน (Seismic Waves) ที่เดินทางผ่านชั้นเปลือกโลกด้วยความเร็วสูง สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับห้องหินหนืดที่อยู่ใต้ภูเขาไฟได้โดยตรง การสั่นนี้อาจทำให้เกิดฟองก๊าซที่ละลายอยู่ในหินหนืดแยกตัวออกมาอย่างรวดเร็ว คล้ายกับการเขย่าขวดน้ำอัดลม ทำให้แรงดันภายในห้องหินหนืดเพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลันจนเกิดการปะทุ
- การเปลี่ยนแปลงความเค้นในเปลือกโลก (Crustal Stress Change) แผ่นดินไหวขนาดใหญ่เกิดจากการปลดปล่อยพลังงานและเปลี่ยนแปลงความเค้นบนรอยเลื่อน การเปลี่ยนแปลงนี้สามารถส่งผลไปยังเปลือกโลกบริเวณใกล้เคียง รวมถึงบริเวณใต้ภูเขาไฟด้วย มันอาจ “คลายล็อก” หรือสร้างรอยแตกใหม่ที่เปิดทางให้หินหนืดแทรกตัวขึ้นมาสู่พื้นผิวได้ง่ายขึ้น
- การกระตุ้นจากระยะไกล (Dynamic Triggering) เป็นทฤษฎีที่คลื่นพื้นผิว (Surface Waves) จากแผ่นดินไหวที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายร้อยหรือหลายพันกิโลเมตร สามารถเดินทางมาถึงและกระตุ้นระบบไฮโดรเทอร์มอล (Hydrothermal System) ใต้ภูเขาไฟ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแรงดันและนำไปสู่การปะทุได้
ในกรณีของ ภูเขาไฟคัมชัตกา ครั้งนี้ การเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในบริเวณใกล้เคียง จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นตัวกระตุ้นโดยตรงผ่านกลไกการสั่นสะเทือนของห้องหินหนืด
“เราเห็นความสัมพันธ์ระหว่างแผ่นดินไหวรุนแรงกับการปะทุของภูเขาไฟในภูมิภาคนี้มาหลายครั้ง” ดร. อีวานอฟ เซอร์เกย์ นักธรณีฟิสิกส์จากสถาบันภูเขาไฟวิทยาและแผ่นดินไหววิทยาแห่งรัสเซีย กล่าว (เป็นการจำลองทัศนะ) “คลื่นจากแผ่นดินไหวเปรียบเสมือนการ ‘เคาะ’ ประตูห้องหินหนืดที่พร้อมจะเปิดอยู่แล้ว ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ควรจะเป็น”
รหัสสีแดง! ผลกระทบเถ้าภูเขาไฟต่อการบินที่ร้ายแรงกว่าที่คิด
การออกประกาศ รหัสสีแดงการบิน ของ KVERT ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ผลกระทบเถ้าภูเขาไฟต่อการบิน ถือเป็นหนึ่งในภัยธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับเครื่องบินไอพ่อน
- อันตรายต่อเครื่องยนต์เจ็ต เถ้าภูเขาไฟ ประกอบด้วยเศษหิน ซิลิกา และแก้วขนาดเล็ก เมื่อถูกดูดเข้าไปในเครื่องยนต์เจ็ตที่มีอุณหภูมิสูง เถ้าเหล่านี้จะหลอมละลายและเคลือบติดกับใบพัดเทอร์ไบน์ ทำให้เครื่องยนต์สูญเสียกำลังและอาจดับกลางอากาศได้
- ลดทัศนวิสัย กลุ่มเถ้าที่หนาทึบทำให้ทัศนวิสัยของนักบินลดลงเหลือศูนย์
- สร้างความเสียหายต่อพื้นผิวเครื่องบิน การเสียดสีกับเถ้าด้วยความเร็วสูงสามารถขัดสีผิวด้านหน้าของเครื่องบินและกระจกห้องนักบินจนขุ่นมัวได้
เส้นทางบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือ ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางบินที่คับคั่งที่สุดในโลก เชื่อมต่อเมืองสำคัญในเอเชียตะวันออก (โตเกียว, โซล, ปักกิ่ง) กับอเมริกาเหนือ (แวนคูเวอร์, ซีแอตเทิล, ลอสแอนเจลิส) ล้วนมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากกลุ่มเถ้าของ ภูเขาไฟคัมชัตกา ครั้งนี้ สายการบินต่างๆ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางบินไปใช้เส้นทางอื่นที่อ้อมกว่า ซึ่งหมายถึงการใช้เชื้อเพลิงมากขึ้นและเกิดความล่าช้าของเที่ยวบินตามมา
5W1H สรุปสถานการณ์ภูเขาไฟปะทุบนคาบสมุทรคัมชัตกา
- Who (ใคร) ภูเขาไฟชิเวลุช (Shiveluch) บนคาบสมุทรคัมชัตกา ประเทศรัสเซีย
- What (ทำอะไร) เกิดการปะทุอย่างรุนแรง พ่นเถ้าภูเขาไฟสูง 15 กิโลเมตร
- When (เมื่อไหร่) เช้าวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ไม่กี่วันหลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.2
- Where (ที่ไหน) คาบสมุทรคัมชัตกา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ วงแหวนแห่งไฟ
- Why (ทำไม) คาดว่าถูกกระตุ้นโดยคลื่นไหวสะเทือนจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
- How (อย่างไร) ปะทุแบบระเบิด (Explosive eruption) ปลดปล่อยแก๊สและเถ้าถ่านมหาศาล ทำให้ทางการต้องประกาศเตือนภัยการบินระดับสูงสุด
คัมชัตกา ดินแดนแห่งยักษ์หลับบน “วงแหวนแห่งไฟ”
คาบสมุทรคัมชัตกา คือหนึ่งในพื้นที่ที่มีพลังทางธรณีวิทยามากที่สุดในโลก ที่นี่คือส่วนหนึ่งของ “วงแหวนแห่งไฟ” (Ring of Fire) แนวเขตรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกรูปเกือกม้าที่ล้อมรอบมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่กว่า 75% ของโลก และเป็นจุดกำเนิดแผ่นดินไหวราว 90% ของโลก
- เขตมุดตัวของแผ่นเปลือกโลก คัมชัตกาตั้งอยู่บนจุดที่แผ่นเปลือกโลกแปซิฟิก (Pacific Plate) กำลังมุดตัวลงใต้แผ่นเปลือกโลกยูเรเชีย (Eurasian Plate) กระบวนการนี้ทำให้เกิดการหลอมละลายของหินในชั้นแมนเทิล เกิดเป็นหินหนืดที่ปะทุขึ้นมาเป็นแนวภูเขาไฟจำนวนมาก
- บ้านของภูเขาไฟยักษ์ บนคาบสมุทรแห่งนี้มีภูเขาไฟมากกว่า 300 ลูก และประมาณ 30 ลูกยังคงคุกรุ่นอยู่ ภูเขาไฟที่โดดเด่นนอกจากชิเวลุชแล้ว ยังมีคลูเชฟสกายา โซปกา (Klyuchevskaya Sopka) ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่สูงและทรงพลังที่สุดในซีกโลกเหนือ
ผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
การปะทุของภูเขาไฟขนาดใหญ่ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ในระดับท้องถิ่น แต่ยังส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศโลกได้ การปะทุครั้งนี้มีการปล่อย ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) จำนวนมากขึ้นสู่ชั้นสตราโตสเฟียร์ ก๊าซนี้จะทำปฏิกิริยากับไอน้ำเกิดเป็นละอองลอยซัลเฟต (Sulfate Aerosols) ซึ่งสามารถสะท้อนแสงอาทิตย์กลับออกไปในอวกาศ ส่งผลให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกเย็นลงชั่วคราวได้ หรือที่เรียกว่า “ฤดูหนาวภูเขาไฟ” (Volcanic Winter) ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเป็นการปะทุที่รุนแรงและต่อเนื่องยาวนานจริงๆ สำหรับการปะทุครั้งนี้ยังต้องรอการประเมินปริมาณก๊าซทั้งหมดอีกครั้ง
บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต
สถานการณ์ล่าสุดภูเขาไฟคัมชัตกา ยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด KVERT คาดการณ์ว่าการปะทุอาจดำเนินต่อไปอีกหลายวันหรือหลายสัปดาห์ และอาจมีกลุ่มเถ้าขนาดใหญ่ถูกพ่นออกมาได้อีกเป็นระยะ เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจที่ทรงพลังถึงพลังของธรรมชาติและความเชื่อมโยงของภัยพิบัติทางธรณีวิทยา การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแผ่นดินไหวและการปะทุของภูเขาไฟจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนทั่วโลกที่อาศัยอยู่บน วงแหวนแห่งไฟ แห่งนี้
แหล่งที่มาจาก : am2con