มาเลเซีย ‘ประกาศสงคราม’ แท็กซี่โกง ล้างบางก่อนปีท่องเที่ยว-บทเรียนถึงไทย?

แท็กซี่มาเลเซีย

กัวลาลัมเปอร์, มาเลเซีย – รัฐบาลมาเลเซียเปิดปฏิบัติการ “ประกาศสงคราม” กับปัญหาแท็กซี่เอาเปรียบนักท่องเที่ยวที่เรื้อรังมานานหลายทศวรรษ โดยกระทรวงคมนาคมได้ส่งเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบปลอมเป็นนักท่องเที่ยวเพื่อล่อซื้อและจับกุมคนขับแท็กซี่ที่ปฏิเสธการใช้มิเตอร์และเรียกเก็บค่าโดยสารเกินจริง ณ จุดยุทธศาสตร์สำคัญทั่วประเทศ โดยเฉพาะสนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (KLIA) ปฏิบัติการเชิงรุกที่เด็ดขาดนี้ ไม่ใช่แค่การบังคับใช้กฎหมายทั่วไป แต่เป็น “สงคราม” กอบกู้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวที่รัฐมนตรีคมนาคมลงมาบัญชาการเอง เพื่อปูทางสู่ความสำเร็จของแคมเปญแห่งชาติ “Visit Malaysia Year 2026” ท่ามกลางบริบทการแข่งขันที่ดุเดือดกับแอปพลิเคชันเรียกรถ ซึ่งสะท้อนบทเรียนและคำถามสำคัญมายังประเทศไทยที่กำลังเผชิญปัญหาลักษณะเดียวกัน

Malaysian authorities seize 21 vehicles for illegal taxi services targeting  tourists - The Online Citizen

“Ops Khas” ปฏิบัติการเชือดไก่ให้ลิงดู ณ ประตูสู่มาเลเซีย

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อสังคมออนไลน์ของมาเลเซียเต็มไปด้วยภาพและคลิปวิดีโอของเจ้าหน้าที่จากสำนักงานขนส่งสาธารณะทางบก (APAD) ในชุดลำลอง เข้าจับกุมคนขับแท็กซี่บริเวณท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (KLIA) และย่านบูกิต บินตัง แหล่งช็อปปิ้งใจกลางเมือง ปฏิบัติการพิเศษที่ใช้ชื่อรหัสว่า “Ops Khas” (ปฏิบัติการพิเศษ) นี้ คือหัวใจของมาตรการปราบปรามครั้งล่าสุด

วิธีการดำเนินงาน

  • เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ ทีมเจ้าหน้าที่ APAD จะปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยว (ทั้งชาวต่างชาติและชาวมาเลเซีย) สะพายเป้ ลากกระเป๋าเดินทาง เข้าไปสอบถามค่าโดยสารจากคนขับแท็กซี่ที่จอดรอรับผู้โดยสารอย่างไม่เป็นทางการ (Ulat Teksi หรือ Taxi Touts)
  • การรวบรวมหลักฐาน เมื่อคนขับเสนอราคาเหมาจ่ายที่สูงเกินจริงและปฏิเสธที่จะใช้ มิเตอร์แท็กซี่ เจ้าหน้าที่จะบันทึกเสียงหรือวิดีโอไว้เป็นหลักฐาน ก่อนจะแสดงตัวเข้าจับกุมทันที
  • บทลงโทษที่เฉียบขาด คนขับที่ถูกจับจะถูกดำเนินคดีทันที โทษปรับมีตั้งแต่ 1,000 ริงกิต ไปจนถึงการยึดใบอนุญาตขับขี่รถสาธารณะเป็นการถาวร ซึ่งถือเป็นมาตรการที่รุนแรงกว่าในอดีตมาก

ปฏิบัติการนี้ไม่ได้เน้นแค่การจับกุม แต่ยังเป็นการส่งสารที่ชัดเจนไปยังคนขับแท็กซี่ทั่วประเทศว่ารัฐบาล “เอาจริง” และจะไม่ผ่อนปรนต่อพฤติกรรมที่ทำลายชื่อเสียงของประเทศอีกต่อไป

เบื้องหลังความเด็ดขาด “แอนโทนี ลก” และเดิมพัน Visit Malaysia Year 2026

แรงขับเคลื่อนสำคัญเบื้องหลังปฏิบัติการครั้งนี้คือ นายแอนโทนี ลก (Anthony Loke) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของมาเลเซีย ซึ่งประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่าจะ “ไม่มีการประนีประนอม” กับแท็กซี่ที่ทำผิดกฎหมาย

นายลก ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่น The Star ว่า “เราได้รับเรื่องร้องเรียนมานับไม่ถ้วน ปัญหานี้กัดกินภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของมาเลเซียมานานเกินไปแล้ว ประตูบานแรกที่นักท่องเที่ยวพบเจอคือระบบขนส่งสาธารณะ หากพวกเขาถูกเอาเปรียบตั้งแต่ก้าวแรก ประสบการณ์ทั้งหมดของพวกเขาก็จะย่ำแย่ เราต้องกำจัด ‘มะเร็งร้าย’ เหล่านี้ให้สิ้นซาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรากำลังจะเข้าสู่ปีแห่งการท่องเที่ยว ‘Visit Malaysia Year 2026′”

แคมเปญ “Visit Malaysia Year 2026” คือเดิมพันครั้งสำคัญของรัฐบาลมาเลเซียในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหลังยุคโควิด-19 โดยตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 35 ล้านคน และสร้างรายได้กว่า 1.4 แสนล้านริงกิต การปราบปราม แท็กซี่มาเลเซีย จึงเป็นภารกิจเร่งด่วนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับนักท่องเที่ยวที่จะหลั่งไหลเข้ามา

Malaysia hails overdue reforms to taxi industry - Nikkei Asia

สงครามสองแนวรบ แท็กซี่ดั้งเดิม ปะทะ แอปพลิเคชันเรียกรถ

บริบทที่ทำให้ปัญหานี้ซับซ้อนยิ่งขึ้นคือการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การเข้ามาของ แอปพลิเคชันเรียกรถ โดยเฉพาะ Grab มาเลเซีย ได้เปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคไปอย่างสิ้นเชิง นักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นจำนวนมากหันไปใช้บริการเรียกรถผ่านแอปฯ เนื่องจากความโปร่งใสด้านราคา สามารถตรวจสอบเส้นทางได้ และมีระบบให้คะแนนคนขับ

สิ่งนี้สร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับคนขับแท็กซี่ดั้งเดิมที่ต้องเผชิญกับ

  • รายได้ที่ลดลง ผู้โดยสารน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้คนขับบางส่วนหันไปใช้วิธีโก่งราคานักท่องเที่ยวที่ไม่รู้ข้อมูลเพื่อชดเชยรายได้
  • การปรับตัวที่ล่าช้า คนขับแท็กซี่รุ่นเก่าจำนวนมากไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีและปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับแพลตฟอร์มแอปพลิเคชัน
  • ต้นทุนที่สูงกว่า แท็กซี่แบบดั้งเดิมมีกฎระเบียบและต้นทุนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับรถยนต์ส่วนบุคคลที่วิ่งให้บริการผ่านแอปฯ

สำหรับนักท่องเที่ยว คำถามที่พบบ่อยคือ Grab กับแท็กซี่ในมาเลเซียอันไหนดีกว่า? โดยทั่วไปแล้ว Grab มักจะให้ประสบการณ์ที่ดีกว่าในด้านราคาที่แน่นอนและความสะดวกสบาย แต่ในบางพื้นที่หรือช่วงเวลาเร่งด่วน แท็กซี่มิเตอร์แบบถูกกฎหมายก็ยังคงเป็นทางเลือกที่สำคัญ การปราบปรามของรัฐบาลจึงไม่ได้มุ่งเป้าทำลายระบบแท็กซี่ แต่เพื่อยกระดับมาตรฐานให้สามารถแข่งขันและอยู่รอดได้

เสียงสะท้อนจากนักท่องเที่ยวและบทเรียนราคาแพง

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาแท็กซี่โก่งราคาเป็นหนึ่งใน ปัญหานักท่องเที่ยว ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในฟอรัมท่องเที่ยวออนไลน์ เช่น TripAdvisor และ Reddit ตัวอย่างเช่น ค่าแท็กซี่จากสนามบิน KL ไปในเมือง ซึ่งมีราคามาตรฐานตามมิเตอร์หรือคูปองอยู่ที่ประมาณ 80-100 ริงกิต แต่กลุ่มแท็กซี่ผิดกฎหมายอาจเรียกสูงถึง 250-300 ริงกิต

สมาคมโรงแรมและผู้ประกอบการท่องเที่ยวมาเลเซียได้ออกมาสนับสนุนมาตรการของรัฐบาลอย่างเต็มที่ โดยระบุว่านี่คือสิ่งที่พวกเขารอคอยมานาน เพราะภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของแท็กซี่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นและความเต็มใจที่จะกลับมาเยือนมาเลเซียอีกครั้งของนักท่องเที่ยว

พลิกมุมมองสู่ไทย เราเรียนรู้อะไรจากปฏิบัติการของมาเลเซีย?

สถานการณ์ของ แท็กซี่มาเลเซีย เปรียบเสมือนภาพสะท้อนของปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ทั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, ภูเก็ต หรือพัทยา ซึ่งนักท่องเที่ยวมักเผชิญกับปัญหารถแท็กซี่และตุ๊กๆ ที่ปฏิเสธผู้โดยสาร หรือเรียกเก็บค่าโดยสารเกินจริง

บทเรียนที่น่าสนใจจากมาเลเซีย

  • ความเด็ดขาดทางการเมือง (Political Will) การที่รัฐมนตรีลงมาบัญชาการและประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ทำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ปฏิบัติการแบบ “ไฟไหม้ฟาง”
  • การบังคับใช้กฎหมายที่สร้างสรรค์ การใช้เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบปลอมเป็นนักท่องเที่ยวเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการรวบรวมหลักฐานและจับกุมผู้กระทำผิดซึ่งหน้า ทำให้ยากต่อการปฏิเสธความผิด
  • การเชื่อมโยงกับเป้าหมายใหญ่ รัฐบาลมาเลเซียผูกเรื่องนี้เข้ากับความสำเร็จของแคมเปญ Visit Malaysia Year 2026 ทำให้การแก้ปัญหามีความเร่งด่วนและได้รับแรงสนับสนุนจากทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
  • การสื่อสารที่ชัดเจน การประชาสัมพันธ์ปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องผ่านสื่อต่างๆ เป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้ที่คิดจะทำผิด และในขณะเดียวกันก็สร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว

คำถามคือ ประเทศไทยพร้อมที่จะนำโมเดล “Malaysia Model” นี้มาปรับใช้หรือไม่? เรามีหน่วยงานอย่างกรมการขนส่งทางบกและตำรวจท่องเที่ยว แต่การจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริงนั้น ต้องอาศัยความมุ่งมั่นทางการเมืองที่ชัดเจนและการบังคับใช้กฎหมายที่ต่อเนื่องอย่างแท้จริง

S'pore drivers say business up by about 30% following LTA clampdown on  illegal cross-border ride-hailing services - Mothership.SG - News from  Singapore, Asia and around the world

บทสรุป สงครามที่ต้องชนะเพื่ออนาคตการท่องเที่ยว

การปราบปรามแท็กซี่โก่งราคาของมาเลเซียในครั้งนี้ เป็นมากกว่าแค่การไล่จับผู้กระทำผิด แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปภาพลักษณ์ระบบขนส่งสาธารณะที่สำคัญของประเทศ ซึ่งเป็นหัวใจของการท่องเที่ยว ความสำเร็จของปฏิบัติการนี้ไม่ได้วัดกันที่จำนวนการจับกุมในระยะสั้น แต่คือการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมของคนขับในระยะยาว และการสร้างความเชื่อมั่นว่ามาเลเซียเป็นจุดหมายปลายทางที่ปลอดภัยและเป็นธรรมสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคน

สำหรับประเทศไทย เรื่องราวจากประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้คือกรณีศึกษาที่ทรงคุณค่าและมาได้ถูกเวลาที่สุด มันแสดงให้เห็นว่าปัญหาที่ดูเหมือนจะแก้ไขไม่ได้นั้น สามารถจัดการได้หากมีความตั้งใจจริงทางการเมืองและกลยุทธ์ที่เฉียบคม นี่คือสงครามที่ทั้งมาเลเซียและไทยจำเป็นต้อง “ชนะ” เพื่ออนาคตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจประเทศ

 

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *