Mitsubishi ถอนตัวกังหันลม: เมื่อ “พายุเศรษฐกิจ” ซัดฝันพลังงานสะอาดญี่ปุ่น และบทเรียนราคาแพงถึงไทย

Mitsubishi ถอนตัวกังหันลม

ในขณะที่โลกกำลังมุ่งหน้าสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานครั้งใหญ่ วงการ การลงทุนพลังงานสะอาด ในเอเชียกลับต้องสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เมื่อ Mitsubishi Corporation กลุ่มบริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น กำลังส่งสัญญาณชัดเจนในการเตรียมถอนตัวจากเมกะโปรเจกต์ พลังงานลมกลางทะเล ญี่ปุ่น มูลค่าหลายแสนล้านเยน การตัดสินใจที่อาจเกิดขึ้นนี้ไม่ได้เป็นผลมาจากความล้มเหลวทางเทคโนโลยี แต่เกิดจาก “พายุเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบ” ซึ่งประกอบด้วยต้นทุนที่พุ่งทะยาน, โซ่อุปทานที่ปั่นป่วน และดอกเบี้ยขาขึ้น ที่กำลังซัดกระหน่ำจนโครงการที่เคยเป็นความหวังด้าน ความมั่นคงทางพลังงาน ของชาติ อาจกลายเป็นหลุมดำทางการเงิน นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของบริษัทเดียว แต่คือสัญญาณเตือนภัยฉุกเฉินที่สะท้อนความเปราะบางของอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนทั่วโลก และเป็นบทเรียนราคาแพงที่ประเทศไทย ซึ่งกำลังมีฝันเดียวกัน ต้องหยุดฟังและศึกษาอย่างรอบคอบ

Watch: Mitsubishi to review its offshore wind projects in Japan amid rising  costs

เกิดอะไรขึ้นกับ 3 โครงการ “เรือธง” แห่งความหวังของญี่ปุ่น?

เพื่อจะเข้าใจขนาดของผลกระทบ เราต้องย้อนกลับไปดูความสำคัญของโครงการเหล่านี้ กลุ่มกิจการร่วมค้าที่นำโดย Mitsubishi Corporation ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการชนะการประมูลโครงการพัฒนาฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่ง 3 แห่งรวดในปี 2564 ซึ่งประกอบด้วย

  • โครงการนอกชายฝั่งเมืองโนชิโระ, มิตาเนะ และโอโมโนะ จังหวัดอาคิตะ
  • โครงการนอกชายฝั่งเมืองยูริฮอนโจ จังหวัดอาคิตะ
  • โครงการนอกชายฝั่งเมืองโชชิ จังหวัดชิบะ

โครงการทั้งสามนี้มีกำลังการผลิตติดตั้งรวมกันสูงถึง 1.7 กิกะวัตต์ (GW) ซึ่งมากพอที่จะจ่ายไฟฟ้าให้กับบ้านเรือนหลายล้านหลัง และถูกวางให้เป็น “โครงการเรือธง” ที่จะกรุยทางไปสู่เป้าหมายตาม นโยบายพลังงานญี่ปุ่น ที่ต้องการเป็นผู้นำด้านพลังงานลมนอกชายฝั่งในเอเชีย การถอนตัวของแกนนำอย่าง Mitsubishi จึงไม่ต่างอะไรกับการที่กัปตันเรือตัดสินใจสละเรือลำใหญ่กลางมหาสมุทร

วิเคราะห์ “พายุ 3 ลูก” ที่ซัดโครงการล่ม ต้นทุน-ซัพพลายเชน-ดอกเบี้ย

อะไรคือปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปจนทำให้ยักษ์ใหญ่อย่าง Mitsubishi ต้องยอมยกธงขาว? คำตอบคือ “พายุเศรษฐกิจ 3 ลูก” ที่ถาโถมเข้าใส่อุตสาหกรรมนี้พร้อมกัน

  • ต้นทุนวัสดุและค่าก่อสร้างที่พุ่งทะยาน (Soaring Material Costs) หัวใจของกังหันลมคือเหล็กและทองแดงมหาศาล ราคาของโภคภัณฑ์เหล่านี้ในตลาดโลกได้พุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจากผลกระทบของเงินเฟ้อและความต้องการที่เพิ่มขึ้นหลังโควิด-19 ส่งผลให้ ต้นทุนพลังงานลม ต่อหน่วยสูงขึ้นกว่าที่ประเมินไว้ในตอนยื่นประมูลอย่างมหาศาล
  • ปัญหาคอขวดในโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain Bottlenecks) ความต้องการกังหันลม, สายเคเบิลใต้ทะเล, และเรือติดตั้งชนิดพิเศษ มีสูงกว่ากำลังการผลิตทั่วโลก ผู้ผลิตกังหันลมรายใหญ่ของโลกอย่าง Vestas, Siemens Gamesa, และ GE ต่างกำลังประสบปัญหาขาดทุนและส่งมอบงานล่าช้า โซ่อุปทาน ที่ตึงตัวนี้ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับระยะเวลาของโครงการ
  • อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น (Rising Interest Rates) โครงการพลังงานหมุนเวียนต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นมหาศาลและอาศัยการกู้ยืมระยะยาว การที่ธนาคารกลางทั่วโลกพร้อมใจกันขึ้น อัตราดอกเบี้ย เพื่อสู้กับเงินเฟ้อ ทำให้ต้นทุนทางการเงินของโครงการเหล่านี้บานปลายขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผลตอบแทนที่เคยคาดว่าจะได้รับถูกกัดกร่อนจนแทบไม่เหลือ

ทำไมโครงการกังหันลมถึงมีความเสี่ยงสูง จากปัจจัยเหล่านี้? เพราะเป็นโครงการระยะยาวที่ต้อง “ล็อก” ราคาขายไฟฟ้าคงที่ไว้ล่วงหน้าหลายสิบปี แต่กลับต้องเผชิญกับต้นทุนที่ผันผวนในปัจจุบัน ทำให้ช่องว่างระหว่างรายรับและรายจ่ายถ่างออกจนเกินกว่าจะรับไหว

ไม่ใช่แค่ Mitsubishi วิกฤตการณ์ที่ลุกลามทั่วอุตสาหกรรมโลก

สิ่งที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นไม่ใช่เหตุการณ์เดี่ยว แต่เป็นภาพสะท้อนของวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นกับ โครงการพลังงานทดแทน ทั่วโลก

  • ในสหราชอาณาจักร บริษัท Vattenfall ของสวีเดน ได้ประกาศหยุดการพัฒนาโครงการ Norfolk Boreas ซึ่งเป็นหนึ่งในฟาร์มกังหันลมที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยให้เหตุผลว่าต้นทุนเพิ่มขึ้นถึง 40%
  • ในสหรัฐอเมริกา บริษัท Ørsted ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานลมจากเดนมาร์ก ได้ยกเลิกโครงการ Ocean Wind 1 และ 2 นอกชายฝั่งรัฐนิวเจอร์ซีย์ ทำให้ต้องบันทึกขาดทุนด้อยค่าสินทรัพย์ไปหลายพันล้านดอลลาร์

ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีเจตจำนงทางการเมืองที่แรงกล้าในการผลักดันพลังงานสะอาด แต่ “กลไกตลาด” และ “ความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ” ยังคงเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จของโครงการ

Mitsubishi revisits round 1 offshore projects amid macroeconomic shifts,  conversion to FIP one possible path - Japan Energy Hub

ผลกระทบ Mitsubishi ถอนตัวต่ออุตสาหกรรม และอนาคต Net Zero ของญี่ปุ่น

การตัดสินใจของ Mitsubishi อาจสร้างผลกระทบแบบโดมิโนตามมาหลายระลอก

  • ต่อเป้าหมายพลังงานของญี่ปุ่น การสูญเสียกำลังการผลิตเกือบ 2 GW จะทำให้เป้าหมาย 10 GW ภายในปี 2030 ของญี่ปุ่นแทบจะเป็นไปไม่ได้ และอาจบีบให้ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) หรือแม้แต่พิจารณาการกลับมาใช้พลังงานนิวเคลียร์มากขึ้น เพื่อรักษา ความมั่นคงทางพลังงาน
  • ต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน การถอนตัวของบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นเอง จะสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนต่างชาติที่กำลังพิจารณาเข้ามาลงทุนในตลาด พลังงานลมกลางทะเล ญี่ปุ่น
  • ต่อผู้ผลิตในโซ่อุปทาน บริษัทท้องถิ่นที่ลงทุนไปแล้วเพื่อรองรับการก่อสร้างโครงการเหล่านี้ จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก

คำถามใหญ่คือ อนาคตพลังงานลมในเอเชียเป็นอย่างไร? กรณีนี้อาจทำให้รัฐบาลประเทศต่างๆ รวมถึงญี่ปุ่น ต้องทบทวนรูปแบบการประมูลและสัญญาซื้อขายไฟฟ้าใหม่ โดยอาจต้องเพิ่มกลไกที่ยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อแบ่งปันความเสี่ยงด้านต้นทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน

บทเรียนถึงประเทศไทย ก้าวต่อไปของพลังงานลมในอ่าวไทย

สำหรับประเทศไทยซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการสำรวจและวางแผนพัฒนาพลังงานลมนอกชายฝั่ง กรณีของ Mitsubishi คือกรณีศึกษาที่ประเมินค่าไม่ได้

ประเทศไทยมีแผนสร้างฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่งไหม? คำตอบคือ “มี” โดยอยู่ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) และมีการ划พื้นที่ศักยภาพไว้แล้วในอ่าวไทยตอนบนและตอนล่าง แต่ก่อนที่เราจะเดินหน้าไปถึงจุดนั้น บทเรียนจากญี่ปุ่นสอนเราว่า

  • รูปแบบการประมูลต้องรอบคอบ การกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าแบบคงที่ (Fixed FiT) อาจมีความเสี่ยงสูงในภาวะเศรษฐกิจผันผวน ควรพิจารณารูปแบบที่สามารถปรับราคาได้ตามต้นทุน (Cost-Plus) หรือมีการแบ่งปันความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
  • ต้องพัฒนาโซ่อุปทานในประเทศ การพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีและอุปกรณ์ทั้งหมดทำให้เรามีความเสี่ยงสูง ควรมีนโยบายส่งเสริมการผลิตชิ้นส่วนและสร้างท่าเรือสำหรับอุตสาหกรรมนี้โดยเฉพาะ เพื่อลดต้นทุนและสร้างงานในประเทศ
  • การศึกษาความเป็นไปได้ต้องลึกซึ้ง ต้องประเมินความเสี่ยงด้านการเงิน, อัตราแลกเปลี่ยน, และความผันผวนของราคาโภคภัณฑ์โลกเข้าไปในแบบจำลองโครงการอย่างเข้มข้น

Mitsubishi Only Winner in Japanese Offshore Wind Auction, GE Turbines for  All Sites | Offshore Wind

บทสรุป (Conclusion)

การที่ Mitsubishi ถอนตัวกังหันลม อาจดูเหมือนเป็นข่าวร้ายสำหรับอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันคือ “สัญญาณเตือน” ที่ปลุกให้ทุกคนตื่นขึ้นสู่ความเป็นจริง การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดไม่ใช่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยความท้าทายทางเศรษฐกิจและการเงินที่ซับซ้อน

การตัดสินใจของ Mitsubishi ไม่ได้หมายความว่าพลังงานลมคือทางเลือกที่ผิด แต่กำลังบอกเราว่า “วิธีการ” และ “เงื่อนไข” ในการผลักดันโครงการเหล่านี้ต้องถูกคิดใหม่ทั้งหมด ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยนโยบายที่ชาญฉลาด, รูปแบบสัญญาที่ยืดหยุ่น, และการบริหารความเสี่ยงที่รอบด้าน ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญที่ประเทศไทยต้องนำไปปรับใช้ เพื่อให้ฝันที่จะมีพลังงานสะอาดจากกังหันลมในอ่าวไทยเกิดขึ้นได้จริงอย่างยั่งยืน

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *