กำไรภาคอุตสาหกรรมจีน สัญญาณอันตรายรอบใหม่ เมื่อยาแรงกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่ได้ผล

กำไรภาคอุตสาหกรรมจีน

ท่ามกลางความพยายามอย่างหนักของรัฐบาลปักกิ่งในการประคองเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญมรสุมรอบด้าน สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ได้เปิดเผย ข้อมูลเศรษฐกิจจีนล่าสุด ในวันนี้ (27 สิงหาคม 2568) ซึ่งเปรียบเสมือนการสาดน้ำเย็นเข้าใส่ความคาดหวังของตลาด โดยตัวเลข กำไรภาคอุตสาหกรรมจีน ประจำเดือนกรกฎาคม ได้หดตัวลงอย่างน่ากังวลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน สะท้อนให้เห็นภาพความเป็นจริงอันโหดร้ายว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ที่ทยอยประกาศใช้ออกมานั้น อาจยังไม่ทรงพลังพอที่จะสู้รบกับ “วิกฤตความเชื่อมั่น” ที่ฝังรากลึก และนี่คือสัญญาณเตือนภัยระลอกใหม่ที่ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อมหาอำนาจแห่งเอเชีย แต่ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนมาถึงเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงเบื้องหลังตัวเลขที่น่าผิดหวัง วิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้ “มังกร” ยังคงป่วยไข้ และประเมินสถานการณ์ว่าประเทศไทยในฐานะคู่ค้าสำคัญ ควรเตรียมรับมือกับความท้าทายระลอกนี้อย่างไร

China's industrial profits extend decline in July By Reuters

กำไรภาคอุตสาหกรรมจีน เจาะลึกตัวเลข ภาพสะท้อนความเปราะบางที่มากกว่าแค่ “กำไร”

ข้อมูลจาก NBS ชี้ชัดว่า กำไรของบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในเดือนกรกฎาคม 2568 ลดลง 6.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี แม้จะดีกว่าเดือนมิถุนายนที่ลดลง 8.4% เล็กน้อย แต่ภาพรวมยังคงน่าเป็นห่วง โดยตัวเลขกำไรสะสม 7 เดือนแรกของปี (มกราคม-กรกฎาคม) หดตัวไปแล้วถึง 15.5%

เมื่อจำแนกตามประเภทอุตสาหกรรม จะเห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

  • กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนัก
  • อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ เช่น การผลิตเหล็ก, ซีเมนต์ และเคมีภัณฑ์ ยังคงมีกำไรลดลงอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากวิกฤตใน ภาคอสังหาริมทรัพย์จีน
  • อุตสาหกรรมเหมืองแร่ ได้รับแรงกดดันจากราคาโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ลดลง
  • กลุ่มที่ยังเติบโตได้
  • อุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยังคงมีการเติบโตของกำไรอย่างแข็งแกร่ง จากนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล
  • อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นอีกกลุ่มที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและยังคงเป็นดาวรุ่งของเศรษฐกิจจีน

ความแตกต่างอย่างสุดขั้วนี้สะท้อนให้เห็นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนนั้นไม่ทั่วถึง (Uneven Recovery) และยังคงพึ่งพาอุตสาหกรรมเป้าหมายของรัฐบาลเป็นหลัก ขณะที่อุตสาหกรรมดั้งเดิมซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจยังคงอ่อนแอ

“มังกรป่วยไข้” วิเคราะห์ 4 สาเหตุหลักฉุดรั้งเศรษฐกิจจีน

การที่ เศรษฐกิจจีนชะลอตัว และมาตรการกระตุ้นยังไม่เห็นผลนั้น มีสาเหตุเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนหลายประการ

  • วิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อ ปัญหานี้เปรียบเสมือน “บาดแผลเรื้อรัง” ของเศรษฐกิจจีน บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่หลายแห่งยังคงผิดนัดชำระหนี้ โครงการก่อสร้างหยุดชะงัก ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และที่สำคัญคือมันทำลายความมั่งคั่งและความเชื่อมั่นของภาคครัวเรือนอย่างรุนแรง
  • อุปสงค์ภายในประเทศที่เปราะบาง (Fragile Domestic Demand) เมื่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคตกต่ำ ประชาชนเลือกที่จะ “ออมมากกว่าใช้” เนื่องจากความไม่แน่นอนของรายได้ในอนาคตและมูลค่าสินทรัพย์ (บ้าน) ที่ลดลง แม้รัฐบาลจะพยายามส่งเสริมการบริโภค แต่ก็ไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • หนี้สินรัฐบาลท้องถิ่นมหาศาล รัฐบาลท้องถิ่นของจีนซึ่งเคยเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน กำลังเผชิญกับภาระหนี้สินจำนวนมหาศาล ทำให้ความสามารถในการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจลดลงอย่างมาก
  • ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า และความขัดแย้งกับชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นปัจจัยกดดันภาคการส่งออกและการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้จีนต้องพึ่งพาการเติบโตจากภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งกลับมาเจอปัญหาอุปสงค์ที่อ่อนแอดังที่กล่าวไป

China's industrial profits fall 3.3% in 2024, third year in the red | Reuters

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน “ยาแรง” ที่ยังไม่ถึงรากของปัญหา?

ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลปักกิ่งและธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ใช้เครื่องมือทางการเงินและการคลังหลายอย่างเพื่อพยุงเศรษฐกิจ

  • การปรับลดอัตราดอกเบี้ย PBOC ได้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ทั้งประเภท 1 ปี และ 5 ปี เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมของภาคธุรกิจและครัวเรือน
  • การอัดฉีดสภาพคล่อง เพิ่มสภาพคล่องในระบบธนาคารเพื่อให้สามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น
  • มาตรการสนับสนุนภาคอสังหาฯ ออกนโยบายผ่อนคลายกฎเกณฑ์การซื้อบ้านและช่วยเหลือบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางส่วน
  • การส่งเสริมการบริโภค สนับสนุนการซื้อรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่ามาตรการเหล่านี้เป็นเพียง “ยาแก้ปวด” ที่ยังไม่สามารถรักษา “ต้นตอของโรค” ได้ เพราะปัญหาหลักในขณะนี้ไม่ใช่การขาดสภาพคล่อง แต่คือ “การขาดความเชื่อมั่น” ภาคธุรกิจไม่กล้าลงทุนเพิ่มเพราะไม่เห็นแนวโน้มอุปสงค์ในอนาคต และภาคครัวเรือนไม่กล้าใช้จ่ายเพราะกังวลเรื่องความมั่นคงทางการเงิน

ผลกระทบเศรษฐกิจจีนต่อไทย 3 เรื่องที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ

ในฐานะที่ไทยมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับจีนอย่างลึกซึ้ง การชะลอตัวครั้งนี้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  • ภาคการส่งออก จีนคือตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย เมื่อ อุปสงค์ภายในประเทศ ของจีนอ่อนแอลง ย่อมส่งผลให้ความต้องการสินค้าจากไทยลดลงตามไปด้วย โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ยางพารา, เคมีภัณฑ์ และสินค้าเกษตรแปรรูป ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเร่งหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง
  • ภาคการท่องเที่ยว แม้นักท่องเที่ยวจีนจะเริ่มกลับมา แต่การฟื้นตัวยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ซบเซาทำให้ชาวจีนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น การเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศจึงอาจไม่ฟู่ฟ่าเหมือนในอดีต ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
  • ตลาดทุนและการลงทุน ความผันผวนของเศรษฐกิจจีนส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาของนักลงทุนทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย คำถามที่ว่า การชะลอตัวของจีนส่งผลต่อหุ้นไทยอย่างไร นั้น คำตอบคือหุ้นในกลุ่มที่พึ่งพารายได้จากจีน เช่น กลุ่มพลังงาน, ปิโตรเคมี และอิเล็กทรอนิกส์ อาจเผชิญแรงกดดัน

ก้าวต่อไปของปักกิ่ง แนวโน้มและสิ่งที่ต้องจับตาครึ่งปีหลัง

แนวโน้มเศรษฐกิจจีนครึ่งปีหลังเป็นอย่างไร? นี่คือคำถามสำคัญที่ทั้งโลกกำลังจับตามอง นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนน่าจะออกมาตรการเพิ่มเติม แต่จะเป็นในลักษณะ “ค่อยเป็นค่อยไป” มากกว่าการอัดฉีดขนาดใหญ่ (Big Bang) แบบในอดีต เนื่องจากความกังวลเรื่องเสถียรภาพทางการเงินและระดับหนี้สิน

สิ่งที่ต้องจับตาคือ การประชุมกรมการเมือง (Politburo) ครั้งต่อไป ซึ่งอาจมีการส่งสัญญาณนโยบายที่ชัดเจนขึ้น โดยตลาดกำลังคาดหวังมาตรการทางการคลังที่ตรงจุดมากขึ้น เช่น การแจกเงินอุดหนุนให้ผู้บริโภคโดยตรง หรือการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐเพื่อสร้างงานและกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

China Industrial Profits Ease Drop With Crackdown on Price Wars - Bloomberg

บทสรุป (Conclusion)

ตัวเลข กำไรภาคอุตสาหกรรมจีน ที่หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญกับอุปสรรคที่หนักหน่วงและซับซ้อนกว่าที่คาดการณ์ไว้ ปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งในภาคอสังหาริมทรัพย์และวิกฤตความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ได้บั่นทอนประสิทธิภาพของมาตรการกระตุ้นที่รัฐบาลพยายามอัดฉีดเข้ามา

สำหรับประเทศไทย การ “ป่วยไข้” ของมังกรตัวนี้คือความท้าทายที่ต้องเผชิญอย่างจริงจัง ผู้ประกอบการและภาครัฐจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ กระจายความเสี่ยง และเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะเมื่อมังกรจาม โลกทั้งใบรวมถึงประเทศไทยก็ย่อมเป็นหวัดได้เสมอ

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *