ในความเคลื่อนไหวที่อาจเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก รัฐบาลอินโดนีเซียได้ประกาศจัดตั้ง “หน่วยงานแร่หายาก” แห่งชาติอย่างเป็นทางการ ถือเป็นก้าวย่างเชิงยุทธศาสตร์ที่ส่งสัญญาณท้าทายการผูกขาดตลาดแร่ธาตุหายาก (Rare Earth Elements – REEs) ของ จีน ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน การตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์นี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องนโยบายภายในประเทศ แต่เป็นการวางตำแหน่งอินโดนีเซียในฐานะมหาอำนาจด้านทรัพยากรคนใหม่ ที่พร้อมจะเข้ามามีบทบาทสำคัญใน ห่วงโซ่อุปทานโลก ตั้งแต่เซมิคอนดักเตอร์ไปจนถึง อุตสาหกรรม EV ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด คำถามสำคัญที่ตามมาคือ การเดิมพันครั้งใหญ่ของ แร่หายากอินโดนีเซีย ครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการเป็น “ฮับ EV อาเซียน” ของประเทศไทยอย่างไร และนี่คือโอกาสทองหรือความท้าทายครั้งใหม่ที่ผู้ประกอบการไทยต้องจับตา
H2 ทำความรู้จัก “แร่หายาก” (Rare Earths) ขุมทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์ที่โลกต้องการ
ก่อนจะวิเคราะห์ผลกระทบในเชิงลึก เราจำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่าทำไม “แร่หายาก” จึงมีความสำคัญจนกลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่ประเทศมหาอำนาจต่างแย่งชิง แร่หายาก หรือ REEs ไม่ได้ “หายาก” ในแง่ของปริมาณในเปลือกโลก แต่กระบวนการสกัดและแปรรูปให้มีความบริสุทธิ์สูงนั้นมีความซับซ้อนอย่างยิ่งและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง
แร่หายากคือหัวใจของเทคโนโลยีสมัยใหม่
- แม่เหล็กถาวรกำลังสูง แร่สำคัญอย่าง นีโอดิเมียม (Neodymium) และ แพรซีโอดิเมียม (Praseodymium) เป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตแม่เหล็ก Neodymium-Iron-Boron (NdFeB) ที่มีพลังมหาศาล ซึ่งเป็นหัวใจของมอเตอร์ในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และกังหันลมผลิตไฟฟ้า
- อิเล็กทรอนิกส์และจอแสดงผล แร่ยูโรเพียม (Europium) และเทอร์เบียม (Terbium) ทำให้เกิดสีสันที่สดใสในจอ LED และสมาร์ทโฟน
- อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ แร่หายากเป็นส่วนประกอบสำคัญในระบบนำวิถีของขีปนาวุธ, เรดาร์, โซนาร์ และเทคโนโลยีทางการทหารอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้ ประเทศใดก็ตามที่สามารถควบคุม ห่วงโซ่อุปทานโลก ของแร่หายากได้ ก็เปรียบเสมือนการกุมชะตาของอุตสาหกรรมแห่งอนาคตไว้ในมือนั่นเอง
H2 เบื้องหลังการตั้ง “หน่วยงานแร่หายาก” ยุทธศาสตร์สร้างชาติบทใหม่ของอินโดนีเซีย
การประกาศจัดตั้ง “คณะกรรมการแร่หายากแห่งชาติ” ของอินโดนีเซีย ไม่ใช่การตัดสินใจที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลพวงจาก นโยบายเศรษฐกิจอินโดนีเซีย ที่เรียกว่า “Downstream Hilirisasi” หรือการผลักดันอุตสาหกรรมปลายน้ำ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างงดงามมาแล้วกับ “แร่นิกเกิล”
รัฐบาลอินโดนีเซียตระหนักว่า การส่งออกเพียงวัตถุดิบราคาถูกไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนให้กับประเทศได้ พวกเขาจึงเปลี่ยนกลยุทธ์จากการเป็น “ผู้ขุดขาย” มาสู่การเป็น “ผู้ผลิตและแปรรูป” โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน
- สร้างมูลค่าเพิ่มมหาศาล บังคับให้การแปรรูปแร่เกิดขึ้นภายในประเทศ เพื่อส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น เช่น ส่วนประกอบแบตเตอรี่ หรือ แม่เหล็กถาวร แทนที่จะส่งออกแค่ดินหรือสินแร่
- ดึงดูดการลงทุนเทคโนโลยี การมีวัตถุดิบในมือ ทำให้อินโดนีเซียมีอำนาจต่อรองสูงในการดึงดูดบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกให้เข้ามาตั้งฐานการผลิต
- สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพิงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ผันผวน และสร้างงานที่มีทักษะสูงให้แก่ประชาชน
- เพิ่มอำนาจในเวทีโลก การเกิดขึ้นของ แร่หายากอินโดนีเซีย จะทำให้อินโดนีเซียกลายเป็นผู้เล่นเชิงยุทธศาสตร์ที่ทุกประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา, ยุโรป, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และแม้แต่ จีน เอง ต้องหันมาเจรจาด้วย
H2 ท้าชนมังกร อินโดนีเซียจะโค่นบัลลังก์แร่หายากของจีนได้จริงหรือ?
นี่คือคำถามที่สำคัญที่สุด การท้าทายอำนาจผูกขาดของ จีน ในตลาดแร่หายากไม่ใช่เรื่องง่าย จีนใช้เวลากว่า 3 ทศวรรษในการสร้างระบบนิเวศทั้งหมด ตั้งแต่การทำเหมือง, การพัฒนาเทคโนโลยีสกัดและแปรรูป ไปจนถึงการผลิตสินค้าปลายน้ำ อีกทั้งยังมีความได้เปรียบด้านต้นทุนและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่ยืดหยุ่นกว่า
อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซียก็มีไพ่สำคัญอยู่ในมือ
- ปริมาณสำรองมหาศาล แม้ตัวเลขที่แน่นอนยังอยู่ระหว่างการสำรวจ แต่คาดการณ์ว่าอินโดนีเซียมีปริมาณแร่หายากสำรองสูงติด 1 ใน 5 ของโลก
- แรงสนับสนุนจากโลกตะวันตก หลายประเทศกำลังดำเนินนโยบาย “De-risking” หรือลดความเสี่ยงจากการพึ่งพา จีน มากเกินไป และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนทั้งด้านเงินทุนและเทคโนโลยีแก่ “ทางเลือกใหม่” อย่างอินโดนีเซีย
- โมเดลความสำเร็จจากนิกเกิล อินโดนีเซียได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่า นโยบายบังคับให้เกิดอุตสาหกรรมปลายน้ำของพวกเขานั้น “ทำได้จริง” และสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อตลาดโลก
แน่นอนว่าเส้นทางนี้ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งในด้านเทคโนโลยีการแปรรูปที่ซับซ้อน, ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากการทำเหมือง, และการสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ แต่ทิศทางที่รัฐบาลอินโดนีเซียกำลังมุ่งไปนั้นชัดเจนและแน่วแน่
H2 ผลกระทบต่อประเทศไทย โอกาสทองของอุตสาหกรรม EV และความท้าทายข้างหน้า
สำหรับประเทศไทย ซึ่งกำลังทุ่มสรรพกำลังเพื่อผลักดันตัวเองสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV Hub) ในภูมิภาค การเกิดขึ้นของ แร่หายากอินโดนีเซีย ถือเป็นทั้ง “โอกาส” และ “บททดสอบ” ครั้งสำคัญ
โอกาสที่เปิดกว้าง
- ความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน ผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วน EV ในไทยจะมี “ทางเลือก” ในการจัดหาวัตถุดิบสำคัญอย่าง แม่เหล็กถาวร จากแหล่งผลิตที่อยู่ใกล้และอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน ช่วยลดความเสี่ยงจากการที่ จีน อาจใช้แร่หายากเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง
- ต้นทุนที่อาจแข่งขันได้มากขึ้น การมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาด ย่อมนำไปสู่การแข่งขันด้านราคา ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนการผลิตมอเตอร์ EV และชิ้นส่วนอื่นๆ ในไทยลดลงในระยะยาว
- โอกาสในการร่วมลงทุน ผู้ประกอบการไทยอาจมองหาโอกาสในการเข้าไปร่วมลงทุนใน การลงทุนในอินโดนีเซีย ด้านอุตสาหกรรมแปรรูปแร่หายาก เพื่อสร้างความได้เปรียบในการเข้าถึงวัตถุดิบ
ความท้าทายที่ต้องปรับตัว
- การแข่งขันที่สูงขึ้น อินโดนีเซียไม่ได้ต้องการเป็นแค่ผู้ขายวัตถุดิบ แต่ตั้งเป้าเป็นผู้ผลิต EV และแบตเตอรี่เช่นกัน ซึ่งหมายความว่าในอนาคต อินโดนีเซียจะเป็นทั้ง “พันธมิตร” และ “คู่แข่ง” ที่น่ากลัวของไทย
- ความจำเป็นในการยกระดับเทคโนโลยี ไทยต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของตัวเอง เพื่อให้สามารถแข่งขันใน อุตสาหกรรม EV ได้ ไม่ใช่เป็นเพียงฐานการประกอบ แต่ต้องมีความสามารถในการออกแบบและผลิตชิ้นส่วนสำคัญเอง
(Conclusion – บทสรุป)
การจัดตั้ง หน่วยงานแร่หายาก ของอินโดนีเซีย คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของสมการอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 มันคือการประกาศอย่างเป็นทางการว่ายุคแห่งการผูกขาดของ จีน กำลังถูกท้าทาย และ ห่วงโซ่อุปทานโลก กำลังจะถูกเขียนขึ้นใหม่โดยมีอาเซียนเป็นหนึ่งในตัวเอก สำหรับประเทศไทย การเคลื่อนไหวของเพื่อนบ้านยักษ์ใหญ่ครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนให้เราต้องปรับตัวและวางยุทธศาสตร์อย่างชาญฉลาด การมองหาความร่วมมือและสร้างความได้เปรียบจากภูมิทัศน์ใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้น คือกุญแจสำคัญที่จะตัดสินว่าเป้าหมาย “EV Hub” ของเราจะสำเร็จได้จริงหรือไม่ในทศวรรษข้างหน้า
แหล่งที่มาจาก : am2con