จีนเทา 2.0 การกลายพันธุ์หลังยุค “ตู้ห่าว” สู่ภัยเงียบ “นอมินี-E-commerce”

ผับจินหลิง

การบุกทลายผับจินหลิงและการจับกุม “ตู้ห่าว” เมื่อหลายปีก่อน อาจดูเหมือนเป็นจุดสิ้นสุดของยุคทองแห่งเครือข่าย “จีนเทา” ในประเทศไทย แต่ความเป็นจริงในวันนี้กลับน่ากังวลยิ่งกว่าเดิม เพราะนี่ไม่ใช่การหายไป แต่คือการ “กลายพันธุ์” ครั้งใหญ่ บทความนี้คือรายงานเชิงสืบสวนที่จะเจาะลึกถึงปรากฏการณ์ “จีนเทา 2.0” เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติระลอกใหม่ที่ฉลาดขึ้น สุขุมขึ้น และอันตรายยิ่งขึ้น พวกเขาได้เปลี่ยนสมรภูมิรบจากสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่ฉูดฉาด มาสู่ห้องประชุมของบริษัทที่มี “นอมินี” คนไทยเป็นกรรมการ และสู่สงครามราคาในตลาด E-commerce ที่ไร้การควบคุม นี่คือภัยคุกคามเงียบที่กำลังกัดกร่อนโครงสร้างเศรษฐกิจและหลักนิติธรรมของไทยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ผบช.น.บุกทลายสถานบันเทิงจินหลิง นักเที่ยวจีนกว่า 200 คน มั่วสุมยาเสพติด

จาก “ผับจินหลิง” สู่บทเรียนราคาแพง ทำไมจีนเทาไม่เคยหายไป?

คดี “ตู้ห่าว” และการปราบปราม ธุรกิจสีเทา ครั้งใหญ่ในปี 2565-2566 ได้เปิดโปงให้สังคมไทยเห็นถึงเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันระหว่างกลุ่มทุนจีนผิดกฎหมาย, การทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ และช่องว่างทางกฎหมาย การกวาดล้างในครั้งนั้นทำให้ธุรกิจ จีนเทา ที่เปิดเผยและใช้เงินสดเป็นหลัก เช่น ผับบาร์, คาราโอเกะ และบ่อนการพนัน ต้องปิดตัวหรือหลบซ่อนตัวไป

แต่ด้วยเงินทุนมหาศาลที่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย เครือข่ายเหล่านี้จำเป็นต้องหาทาง “ฟอก” และ “ลงทุน” ต่อ พวกเขาเรียนรู้จากความผิดพลาดและปรับเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ทั้งหมด จากการทำธุรกิจที่ “เสียงดัง” มาสู่ธุรกิจที่ “เงียบ” แต่ฝังรากลึกยิ่งกว่าเดิม

กลายพันธุ์รูปแบบที่ 1 “นอมินี” พลังแฝงกัดกร่อนเศรษฐกิจ

นี่คือรูปแบบการกลายพันธุ์ที่อันตรายและตรวจสอบได้ยากที่สุด เครือข่าย จีนเทา 2.0 ได้หันมาใช้ “คนไทย” เป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบผ่านการเป็น นอมินี

  • รูปแบบการดำเนินการ กลุ่มทุนจีนจะว่าจ้างคนไทย (อาจเป็นคนใกล้ชิด, พนักงาน, หรือแม้กระทั่งชาวบ้านที่ต้องการเงิน) ให้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในนามของตนเอง โดยมีคนไทยถือหุ้นเกิน 51% ตามที่กฎหมายกำหนด แต่ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจและเป็นเจ้าของเงินทุนที่แท้จริงคือนายทุนจีนที่อยู่เบื้องหลัง
  • เป้าหมายหลัก – อสังหาริมทรัพย์ บริษัทที่มีนอมินีเหล่านี้มีเป้าหมายหลักในการกว้านซื้อ อสังหาริมทรัพย์ ทั้งคอนโดมิเนียมยกฟลอร์, โครงการหมู่บ้านจัดสรร, และที่ดินแปลงใหญ่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ เช่น กรุงเทพฯ, ภูเก็ต, เชียงใหม่ และพัทยา

ปฏิบัติการกว้านซื้ออสังหาฯ เมื่อกฎหมายถูกใช้เป็นเครื่องมือ

การกระทำเช่นนี้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่

  • การฟอกเงิน เป็นช่องทางที่ดีที่สุดในการ ฟอกเงิน สกปรกที่ได้มาจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์, เว็บพนันออนไลน์ หรือยาเสพติด ให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่ถูกกฎหมาย
  • ผลกระทบต่อราคา การซื้อโดยไม่เกี่ยงราคาทำให้ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในหลายพื้นที่พุ่งสูงขึ้นเกินจริง จนคนไทยทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้
  • ความมั่นคง การที่ชาวต่างชาติสามารถควบคุมที่ดินและสร้างเป็น “ชุมชนปิด” ของตนเอง อาจนำไปสู่ปัญหาด้านความมั่นคงในระยะยาว

ปฐมบท "ผับจินหลิง" เปิดมหากาพย์ "ทุนจีนสีเทา"

กลายพันธุ์รูปแบบที่ 2 “E-commerce สีเทา” สงครามราคาที่ SME ไทยแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง

อีกหนึ่งสมรภูมิที่ จีนเทา 2.0 เข้ามารุกรานอย่างหนักคือตลาดออนไลน์ โดยอาศัยช่องว่างของแพลตฟอร์ม E-commerce และ Social Commerce

  • รูปแบบการดำเนินการ ตั้งบริษัทนอมินีในไทยเพื่อเป็นนิติบุคคลในการเปิดร้านค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์มยอดนิยม จากนั้นนำเข้าสินค้าจากจีนในปริมาณมหาศาล (ซึ่งมักสำแดงราคาต่ำกว่าจริงเพื่อเลี่ยงภาษี) แล้วนำมาขายตัดราคาผู้ประกอบการไทย
  • ผลกระทบ
  • การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม SME ไทยที่มีต้นทุนสูงกว่าทั้งในด้านการผลิตและภาษี ไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับสินค้าเหล่านี้ได้เลย
  • สินค้าไม่มีคุณภาพและหลอกลวง สินค้าจำนวนมากไม่ได้มาตรฐาน, ไม่มี มอก., หรือเป็นสินค้าลอกเลียนแบบ สร้างความเสียหายให้กับผู้บริโภค
  • การหลีกเลี่ยงภาษี รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้ เนื่องจากธุรกรรมส่วนใหญ่ทำในรูปแบบบุคคลธรรมดาและยากต่อการตรวจสอบ

เบื้องหลังเงินทุนมหาศาล วงจรฟอกเงินจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเว็บพนัน

คำถามสำคัญคือ เงินทุนมหาศาลที่ใช้ในการกว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์และทุ่มตลาด E-commerce มาจากไหน? คำตอบยังคงเชื่อมโยงกับ อาชญากรรมข้ามชาติ ที่มีฐานอยู่นอกประเทศ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเว็บพนันออนไลน์ในประเทศเพื่อนบ้าน เงินที่หลอกลวงจากคนไทยได้จะถูกลักลอบนำกลับเข้ามาในประเทศ และส่งต่อให้เครือข่าย จีนเทา เพื่อนำไป “ฟอก” ผ่านการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในนามบริษัทนอมินีนั่นเอง มันคือวงจร “อุบาทว์” ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเงินของคนไทยถูกขโมยไป แล้วนำกลับมาทำลายเศรษฐกิจของคนไทยอีกทอดหนึ่ง

ความท้าทายของภาครัฐ ไล่ตาม “เงา” ที่เปลี่ยนร่างตลอดเวลา

การต่อสู้กับ จีนเทา 2.0 เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับหน่วยงานภาครัฐอย่าง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

  • ความยากในการพิสูจน์ การจะพิสูจน์ว่าคนไทยคนใดเป็น นอมินี นั้นทำได้ยากมากในทางกฎหมาย ตราบใดที่เอกสารการถือหุ้นถูกต้อง การจะสืบหาเส้นทางการเงินที่แท้จริงต้องใช้เวลาและทรัพยากรมหาศาล
  • กฎหมายที่ตามไม่ทัน กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่ดินของคนต่างด้าวและการกำกับดูแล E-commerce ยังคงมีช่องโหว่จำนวนมาก
  • การทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เครือข่ายเหล่านี้สามารถเติบโตและหลีกเลี่ยงการถูกตรวจสอบได้

“พวกเขาเรียนรู้และปรับตัวเร็วมาก พอเราปิดช่องทางหนึ่ง เขาก็ไปเปิดช่องทางใหม่ที่ซับซ้อนกว่าเดิม การทำงานของเราตอนนี้เหมือนกับการไล่จับเงาที่เปลี่ยนรูปร่างได้ตลอดเวลา” – เจ้าหน้าที่ระดับสูง DSI

ผบช.น.บุกทลายสถานบันเทิงจินหลิง นักเที่ยวจีนกว่า 200 คน มั่วสุมยาเสพติด

บทวิเคราะห์ ทางออกที่ยั่งยืนต้อง “ผ่าตัด” ทั้งระบบ

การแก้ปัญหา จีนเทา ในวันนี้ไม่สามารถใช้เพียงการ “จับกุม” เป็นครั้งคราวได้อีกต่อไป แต่ต้องอาศัยการ “ผ่าตัดใหญ่” ทั้งระบบ

  • ปฏิรูปกฎหมาย แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่ดินและธุรกิจของคนต่างด้าวให้รัดกุมยิ่งขึ้น รวมถึงออกมาตรการทางภาษีที่จริงจังกับ E-commerce ข้ามชาติ
  • บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ปราบปรามการทุจริตในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐที่เอื้อประโยชน์ให้กับเครือข่ายเหล่านี้อย่างเด็ดขาด
  • บูรณาการหน่วยงาน สร้างกลไกการทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพระหว่าง DSI, ตำรวจ, ปปง., กรมที่ดิน และกรมสรรพากร เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสืบสวนเส้นทางการเงินที่น่าสงสัย
  • ความร่วมมือระหว่างประเทศ ยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการทลายต้นตอของอาชญากรรมไซเบอร์

ภัยคุกคามจาก จีนเทา 2.0 คือบททดสอบสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและหลักนิติธรรมของประเทศไทย หากปล่อยให้ “เซลล์มะเร็ง” เหล่านี้เติบโตและฝังรากลึกต่อไป ความเสียหายที่เกิดขึ้นในอนาคตอาจรุนแรงเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *