ระเบิดกลางกรุง ปลุกประวัติศาสตร์ “ความเสียหายไทยในสงคราม” ที่ถูกลืม

ความเสียหายไทยในสงคราม

เสียงไซเรนเตือนภัยดังก้องไปทั่วพื้นที่ย่านเศรษฐกิจใจกลางกรุงเทพฯ ประชาชนหลายพันคนถูกอพยพอย่างเร่งด่วน ขณะที่เจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) กำลังเผชิญหน้ากับอดีตที่ถูกปลุกขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน นั่นคือระเบิดอากาศขนาด 500 ปอนด์ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถูกขุดพบในไซต์งานก่อสร้างรถไฟฟ้า การค้นพบครั้งนี้เป็นมากกว่าแค่ข่าวอาชญากรรม แต่มันคือการกระชากประวัติศาสตร์หน้าที่คนไทยส่วนใหญ่หลงลืมให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง มันคือหลักฐานที่จับต้องได้ของ “ความเสียหายไทยในสงคราม” และเป็นจุดเริ่มต้นในการสำรวจเรื่องราวการทิ้งระเบิดถล่มกรุงเทพฯ โดยฝ่ายสัมพันธมิตร และมรดกอันตรายที่ยังคงหลับใหลอยู่ใต้เท้าของเรามากว่า 80 ปี

สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก

ปฏิบัติการ EOD กลางกรุง วินาทีต่อวินาทีกับมรดกสงคราม

เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงสายของวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เมื่อคนงานก่อสร้างในโครงการรถไฟฟ้าสายสี… บริเวณใกล้เคียงย่านมักกะสัน ได้ขุดพบวัตถุโลหะขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายระเบิด การก่อสร้างหยุดชะงักลงทันที และพื้นที่ถูกปิดกั้นก่อนที่ทีม EOD จะเข้ามายืนยันว่ามันคือระเบิดอากาศ (Aerial Bomb) แบบ AN-M64 General-Purpose ที่กองทัพอากาศสหรัฐฯ ใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และยังอยู่ในสภาพพร้อมทำงาน

ปฏิบัติการอพยพประชาชนในรัศมี 800 เมตรเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด ก่อนที่ทีม EOD จะเริ่มภารกิจที่เสี่ยงอันตรายในการทำให้ระเบิดหมดสภาพและเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ปลอดภัย เหตุการณ์นี้ได้สร้างความตระหนกและในขณะเดียวกันก็จุดประกายคำถามสำคัญ ระเบิดลูกนี้มาจากไหน และยังมีอีกกี่ลูกที่รอวันถูกค้นพบอยู่ใต้เมืองหลวงของเรา?

ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ทำไมกรุงเทพฯ ถึงกลายเป็นเป้าทิ้งระเบิด?

เพื่อตอบคำถามนี้ เราต้องย้อนกลับไปในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2482-2488) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ซับซ้อนอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย

พันธมิตรที่จำใจ บทบาทอันซับซ้อนของไทยในสงครามโลกครั้งที่ 2

หลังจากที่ กองทัพญี่ปุ่น บุกประเทศไทยในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ตัดสินใจยอมยุติการต่อสู้และลงนามในสนธิสัญญาพันธไมตรีกับญี่ปุ่น ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสถานะ “พันธมิตร” ของฝ่ายอักษะโดยปริยาย และได้ประกาศสงครามกับ ฝ่ายสัมพันธมิตร (สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ) ในเวลาต่อมา

การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของฝ่ายสัมพันธมิตรทันที เพราะกรุงเทพฯ ได้กลายเป็น

  • ศูนย์กลางการลำเลียงพลและยุทธปัจจัยของญี่ปุ่น เพื่อส่งกำลังไปโจมตีพม่าและอินเดีย
  • ที่ตั้งของฐานทัพและคลังอาวุธของญี่ปุ่น
  • จุดยุทธศาสตร์ด้านการคมนาคม มีทั้งท่าเรือกรุงเทพ, สถานีรถไฟหัวลำโพง และชุมทางรถไฟที่สำคัญ

ในขณะเดียวกัน ก็ได้มี ขบวนการเสรีไทย ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ก่อตั้งขึ้นเพื่อทำงานร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในการต่อต้านญี่ปุ่นอย่างลับๆ ประเทศไทยในขณะนั้นจึงอยู่ในสภาวะที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง

สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก

ภาพจำที่เลือนลาง ความเสียหายและการต่อสู้ของคนกรุงเทพฯ

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2485 จนถึงสิ้นสุดสงครามในปี 2488 กรุงเทพฯ และเมืองสำคัญอื่นๆ ต้องเผชิญกับการ ทิ้งระเบิดกรุงเทพฯ จากเครื่องบินทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรนับครั้งไม่ถ้วน ชีวิตของคนกรุงเทพฯ ในยุคนั้นเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

  • เสียงไซเรนเตือนภัยและการอพยพ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ผู้คนต้องวิ่งหนีลงหลุมหลบภัยทุกครั้งที่ได้ยินเสียง
  • มาตรการพรางไฟ (Blackout) ในเวลากลางคืน ทั่วทั้งเมืองต้องดับไฟเพื่อไม่ให้เป็นเป้าสายตาของเครื่องบินข้าศึก
  • เป้าหมายหลักและผลกระทบข้างเคียง แม้เป้าหมายหลักจะเป็นจุดยุทธศาสตร์ เช่น สถานีรถไฟบางกอกน้อย, ท่าเรือคลองเตย, สะพานพระราม 6, โรงไฟฟ้า และโรงงานอุตสาหกรรม แต่ด้วยเทคโนโลยีในยุคนั้น ทำให้ระเบิดจำนวนมากพลาดเป้าและตกลงในชุมชนที่อยู่อาศัย, วัดวาอาราม และโรงพยาบาล ทำให้เกิด ความเสียหายไทยในสงคราม ต่อชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนอย่างมหาศาล
  • สภาพเศรษฐกิจและสังคม การทิ้งระเบิดสร้างความเสียหายต่อระบบสาธารณูปโภคอย่างหนัก ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหารและสินค้าที่จำเป็น ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเต็มไปด้วยความยากลำบาก

ระเบิดที่ยังไม่ตื่น มรดกอันตรายใต้เมืองหลวง

ระเบิดที่ถูกค้นพบในวันนี้ คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งชี้ว่า ความเสียหายไทยในสงคราม ไม่ได้จบลงในปี 2488 แต่ยังคงหลงเหลือมรดกอันตรายฝังอยู่ใต้ดิน

  • ระเบิดด้าน (Duds) ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าประมาณ 10% ของระเบิดที่ถูกทิ้งในสมัยนั้นอาจไม่ระเบิด ซึ่งหมายความว่ายังมีระเบิดอีกจำนวนมากที่ยังไม่ถูกค้นพบ
  • ความเสี่ยงในการก่อสร้าง การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว, การก่อสร้างอาคารสูง และโครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน ทำให้มีความเสี่ยงที่จะขุดไปเจอระเบิดเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ
  • กฎหมายและมาตรการ เหตุการณ์นี้กระตุ้นให้เกิดคำถามถึงมาตรการด้านความปลอดภัยในการก่อสร้างในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงทางประวัติศาสตร์ ว่ามีเพียงพอแล้วหรือไม่

เสียงจากผู้เชี่ยวชาญและพยานในประวัติศาสตร์

ศาสตราจารย์ ดร. ธานี วีระศักดิ์ (นามสมมติ) นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านสงครามโลกครั้งที่ 2 กล่าวว่า “คนไทยรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มักจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์สงครามโลกจากมุมของขบวนการเสรีไทย ซึ่งเป็นเรื่องราวแห่งความภาคภูมิใจ แต่เรามักจะพูดถึงความทุกข์ยากและการสูญเสียของสามัญชนจากการทิ้งระเบิดน้อยมาก การค้นพบระเบิดครั้งนี้เปรียบเสมือนการเปิดบาดแผลเก่าเพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของบรรพบุรุษตัวเองอย่างรอบด้านมากขึ้น”

ขณะที่คุณยายสมศรี วัย 90 ปี ซึ่งเคยอาศัยอยู่ใกล้สถานีรถไฟบางกอกน้อยในวัยเด็ก เล่าด้วยความทรงจำที่ยังชัดเจนว่า “พอได้ยินเสียงหว้อ (ไซเรน) ก็ต้องรีบวิ่งไปหลบในคูน้ำหลังบ้าน เสียงเครื่องบินดังสนั่น เสียงระเบิดเหมือนฟ้าจะถล่ม เห็นแสงไฟแดงฉานไปทั่วฟ้า มันน่ากลัวมาก ไม่เคยลืมเลย”

Photo Gallery ระทึก! พบวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิด กลางกรุง

บทสรุป บทเรียนจากอดีตที่ถูกขุดพบ

การค้นพบระเบิดสมัยสงครามโลกกลางกรุงเทพฯ เป็นมากกว่าแค่เหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้น มันคือการปลุกความทรงจำและประวัติศาสตร์ที่ถูกลืมเลือนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง มันบังคับให้เราต้องหันกลับไปมอง ความเสียหายไทยในสงคราม อย่างจริงจัง และตระหนักว่าสันติภาพที่เรามีอยู่ในทุกวันนี้ มีราคาที่คนรุ่นก่อนต้องจ่ายอย่างแสนสาหัส

บทเรียนจากระเบิดลูกนี้จึงมีค่ามหาศาล มันสอนให้เรารู้จักประวัติศาสตร์ของชาติตัวเองอย่างลึกซึ้ง, สอนให้เราตระหนักถึงภัยของสงคราม และกระตุ้นเตือนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องวางมาตรการเพื่อรับมือกับ “มรดกที่ยังไม่ตื่น” เหล่านี้อย่างจริงจัง เพื่อให้แน่ใจว่าอดีตที่เจ็บปวดจะไม่กลับมาทำร้ายคนในปัจจุบันได้อีกต่อไป

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *