ลึกลงไปใต้ผืนดินของจังหวัดพระตะบองที่เงียบสงบ ใกล้ชายแดนประเทศไทย แผ่นดินได้ปริแยกและเผยความลับอันน่าสะพรึงกลัวที่ถูกฝังกลบไว้นานเกือบ 50 ปี การค้นพบหลุมฝังศพหมู่แห่งใหม่จากยุคเขมรแดงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่การค้นพบทางโบราณคดี แต่มันคือการ “ขุดค้น” บาดแผลทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงเจ็บปวดและไม่เคยจางหายไปจากจิตวิญญาณของชาติกัมพูชา การค้นพบครั้งนี้เป็นเครื่องย้ำเตือนอันโหดร้ายว่า ความเสียหายกัมพูชาในสงคราม นั้นลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าแค่ตัวเลขผู้เสียชีวิต บทความนี้จะใช้การค้นพบล่าสุดเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินทางย้อนอดีต เพื่อสำรวจมรดกเลือดแห่ง “ทุ่งสังหาร” ที่ยังคงหล่อหลอมการเมือง สังคม และความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านอย่างประเทศไทยมาจนถึงทุกวันนี้
การค้นพบล่าสุด เมื่อ “ทุ่งสังหาร” ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
รายงานจากศูนย์документацииกัมพูชา (DC-Cam) ยืนยันการค้นพบหลุมฝังศพหมู่ขนาดใหญ่ในพื้นที่ห่างไกลของจังหวัดพระตะบอง ซึ่งคาดว่ามีร่างของผู้เสียชีวิตจากยุค เขมรแดง หลายร้อยคน การค้นพบนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญหลังจากฝนตกหนักจนทำให้ดินริมตลิ่งทรุดตัวและเผยให้เห็นเศษชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์
การค้นพบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันตอกย้ำว่า แม้เวลาจะผ่านไปเกือบครึ่งศตวรรษ แต่เรื่องราวความโหดร้ายของระบอบพล พต ยังคงมีอีกมากมายที่รอการเปิดเผย มันไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่ตายแล้ว แต่เป็นโศกนาฏกรรมที่ยังคงดำเนินอยู่ในความทรงจำและใต้ผืนดินที่คนรุ่นใหม่เหยียบย่ำอยู่ทุกวัน
ย้อนรอยโศกนาฏกรรม ความเสียหายที่มากกว่าแค่ตัวเลขผู้เสียชีวิต
ระหว่างปี พ.ศ. 2518-2522 ระบอบเขมรแดงได้เปลี่ยนแปลงกัมพูชาให้กลายเป็นดินแดนแห่งความตาย ความเสียหายที่เกิดขึ้นสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายมิติที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
1. ความเสียหายเชิงมนุษย์และภูมิปัญญา
ระบอบพล พต มีเป้าหมายในการสร้างสังคมกสิกรรมแบบไร้ชนชั้น ทำให้เกิดการกวาดล้าง “ศัตรูของอังการ์” ซึ่งหมายถึงผู้ที่มีความรู้, ปัญญาชน, ศิลปิน, ครู, แพทย์ และผู้เชี่ยวชาญในทุกสาขา การสูญเสียประชากรเกือบ 2 ล้านคน ไม่ใช่แค่การสูญเสียแรงงาน แต่คือการสูญเสีย “สมอง” ของชาติไปทั้งรุ่น ทำให้การฟื้นฟูประเทศในยุคต่อมาเป็นไปด้วยความยากลำบากอย่างแสนสาหัส
2. ความเสียหายเชิงสังคมและวัฒนธรรม
ครอบครัวซึ่งเป็นสถาบันหลักของสังคมถูกทำลาย เด็กถูกพรากจากพ่อแม่ให้ไปอยู่ในค่ายแรงงาน ระบบความเชื่อและศาสนาถูกล้มล้าง วัดวาอารามถูกเปลี่ยนเป็นคุกหรือโรงเก็บของ รากฐานทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมานับพันปีถูกถอนรากถอนโคนในเวลาเพียง 4 ปี
3. ความเสียหายเชิงจิตวิทยาและบาดแผลทางใจ
ผู้รอดชีวิตต้องเผชิญกับ บาดแผลทางประวัติศาสตร์ ที่มองไม่เห็น (Intergenerational Trauma) ความหวาดระแวง, ความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน และฝันร้ายจากอดีตยังคงฝังลึกอยู่ในจิตใจของผู้คนจำนวนมาก และถูกส่งต่อไปยังคนรุ่นลูกรุ่นหลานอย่างเงียบๆ
4. ความเสียหายทางเศรษฐกิจ
ระบบเศรษฐกิจล่มสลายโดยสมบูรณ์ เมืองกลายเป็นเมืองร้าง, เงินตราถูกยกเลิก, และโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดถูกทิ้งให้ทรุดโทรม กัมพูชาถูกผลักกลับไปสู่จุดเริ่มต้นและกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก
มรดกเลือด บาดแผลที่หล่อหลอมการเมืองกัมพูชาร่วมสมัย
ความเสียหายกัมพูชาในสงคราม ไม่ได้จบลงในปี 2522 แต่มันได้กลายเป็น “มรดก” ที่ทรงอิทธิพลต่อการเมืองกัมพูชาอย่างยิ่ง
- ความชอบธรรมของพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) พรรค CPP ซึ่งนำโดยสมเด็จเดโช ฮุน เซน มาอย่างยาวนาน ใช้ประวัติศาสตร์ในการโค่นล้มระบอบเขมรแดงเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมทางการเมืองเสมอมา โดยนำเสนอว่าตนคือผู้ที่นำพาสันติภาพและยุติยุคสมัยอันโหดร้าย
- ความกลัวความวุ่นวาย บาดแผลจากสงครามทำให้ชาวกัมพูชาจำนวนมากโหยหาสันติภาพและเสถียรภาพเหนือสิ่งอื่นใด ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้พรรค CPP สามารถครองอำนาจได้อย่างยาวนาน แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการจำกัดสิทธิและเสรีภาพก็ตาม
- ศาลคดีเขมรแดง (ECCC) แม้จะมีการจัดตั้งศาลพิเศษขึ้นมาเพื่อพิจารณาคดีผู้นำเขมรแดง แต่กระบวนการที่ล่าช้าและจำกัดวงอยู่แค่ผู้นำระดับสูงสุด ก็ทำให้เกิดคำถามถึงความยุติธรรมที่แท้จริงสำหรับเหยื่อหลายล้านคน
มุมมองจากฝั่งไทย ความทรงจำจากค่ายอพยพและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน
สำหรับประเทศไทย โศกนาฏกรรมของกัมพูชาไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็น ความทรงจำร่วม ที่ซับซ้อน
- คลื่นผู้อพยพ หลังปี 2522 คนไทยได้เห็นภาพเพื่อนมนุษย์ชาวกัมพูชานับแสนคนหนีตายข้ามพรมแดนมายัง ชายแดนไทย-กัมพูชา นำไปสู่การจัดตั้ง ค่ายอพยพ ขนาดใหญ่ เช่น ค่ายเขาอีด่าง ซึ่งเป็นการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย
- แนวปะทะแห่งความมั่นคง ในขณะเดียวกัน ชายแดนไทยก็กลายเป็นพื้นที่ขัดแย้งที่อันตรายจากการสู้รบระหว่างกองกำลังต่างๆ ของกัมพูชาที่ได้รับการหนุนหลังจากมหาอำนาจในยุคสงครามเย็น
- มรดกที่ยังคงอยู่ ปัญหาทุ่นระเบิดจำนวนมหาศาลที่ยังคงฝังอยู่ตามแนวชายแดน คือมรดกที่อันตรายจากสงครามครั้งนั้นที่ทั้งสองประเทศยังคงต้องจัดการร่วมกันมาจนถึงทุกวันนี้
“ภาพที่ผมเห็นที่ค่ายเขาอีด่างยังติดตามาจนวันนี้ เราเห็นทั้งความตายและความหวังในที่เดียวกัน มันคือบทเรียนที่สอนให้เรารู้ว่าสันติภาพนั้นเปราะบางแค่ไหน และผลของสงครามมันโหดร้ายเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้” – อดีตเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ชาวไทย (สมมติ)
จากอดีตสู่ปัจจุบัน การส่งต่อความทรงจำสู่คนรุ่นใหม่
การค้นพบหลุมฝังศพหมู่ครั้งล่าสุดนี้ ได้จุดประกายให้เกิดการถกเถียงในหมู่คนรุ่นใหม่ของกัมพูชาอีกครั้ง ว่าพวกเขาควรจะเรียนรู้และจดจำประวัติศาสตร์ที่เจ็บปวดนี้อย่างไร ในยุคที่พยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์เริ่มล้มหายตายจากไป การทำให้ความทรงจำเหล่านี้ยังคงอยู่และเป็นบทเรียนสำหรับอนาคต คือความท้าทายที่สำคัญที่สุด
การขุดค้นหลุมฝังศพแห่งใหม่นี้ จึงไม่ใช่แค่การขุดค้นอดีต แต่คือการขุดค้นเพื่อสร้างความเข้าใจในปัจจุบันและวางรากฐานสำหรับอนาคต เพื่อให้แน่ใจว่าโศกนาฏกรรมอันเกิดจากความเกลียดชังและความสุดโต่งทางความคิด จะไม่ย้อนกลับมาเกิดขึ้นอีกบนแผ่นดินกัมพูชาหรือที่ใดในโลก
แหล่งที่มาจาก : am2con