นายกฯ ลุยน้ำท่วมพิจิตร เบื้องหลังการลงพื้นที่ฯ สู่แผนแก้ปัญหาน้ำซ้ำซากลุ่มน้ำยม

ลงพื้นที่ดูความเสียหาย

ภาพของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่ต้องนั่งเรือท้องแบนเพื่อเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านที่จมอยู่ใต้น้ำ กลายเป็นภาพสะท้อนวิกฤตอุทกภัยซ้ำซากที่เกิดขึ้นอีกครั้งในจังหวัดพิจิตร แต่การเดินทางมาของนายกรัฐมนตรี เศรษฐวัฒน์ ชัยโยธา ในวันนี้ อาจมีความหมายมากกว่าแค่การลงพื้นที่ดูความเสียหายและมอบถุงยังชีพตามธรรมเนียมปฏิบัติ เพราะเบื้องหลังภาพเหล่านี้ คือการเดิมพันครั้งสำคัญของรัฐบาลในการประกาศ “แผนแม่บทการจัดการน้ำลุ่มน้ำยมเชิงโครงสร้าง” ซึ่งถูกนำเสนอในฐานะ “ทางออกที่ยั่งยืน” เพื่อยุติวงจรแห่งความทุกข์ยากนี้ บทความนี้จะเจาะลึกถึงต้นตอของปัญหาที่กัดกินเมืองชาละวันมานานหลายทศวรรษ พร้อมประเมินนโยบายล่าสุดของรัฐบาลอย่างรอบด้าน ว่าจะสามารถเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้จริง หรือเป็นเพียงอีกหนึ่งสัญญาที่อาจถูกพัดพาไปกับสายน้ำในฤดูน้ำหลากครั้งต่อไป

พิจิตรเกือบจมบาดาลทั้งจังหวัด ล่าสุดน้ำไหลเข้าตัวเมืองแล้ว

“พิจิตรจมบาดาล” ภาพสะท้อนวิกฤตไร้เขื่อนแห่งลุ่มน้ำยม

ทุกๆ ปีเมื่อฤดูฝนมาถึง จังหวัดในแถบลุ่มน้ำยมตอนล่างอย่างสุโขทัย พิษณุโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพิจิตร มักจะต้องเผชิญกับชะตากรรมน้ำท่วมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้นตอของปัญหาที่นักวิชาการและ กรมชลประทาน ต่างชี้ตรงกันคือ “ลุ่มน้ำยมเป็นเพียงลุ่มน้ำเดียวในประเทศไทยที่ไม่มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เป็นเครื่องมือบริหารจัดการน้ำตอนบน”

เมื่อเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ภาคเหนือ มวลน้ำก้อนมหึมาจะไหลบ่าลงมาตามแม่น้ำยมอย่างรวดเร็วโดยไม่มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่คอยชะลอหรือกักเก็บไว้ ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำท้ายน้ำอย่างจังหวัดพิจิตรกลายเป็น “พื้นที่รับน้ำ” โดยธรรมชาติ ความเสียหายต่อบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรมจึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านบาทในแต่ละปี กลายเป็นบาดแผลเรื้อรังที่บั่นทอนเศรษฐกิจและจิตใจของคนในพื้นที่

การ ลงพื้นที่ดูความเสียหาย ของผู้นำรัฐบาลในครั้งนี้ จึงแบกรับความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการเห็นการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

เบื้องหลังภาพนายกฯ มอบถุงยังชีพ เดิมพันนโยบายแก้จน-แก้ท่วม

การเดินทางมาของนายกรัฐมนตรีในวันนี้ จึงมีเป้าหมายที่ชัดเจน 3 ประการ

  • ให้กำลังใจและช่วยเหลือเฉพาะหน้า มอบถุงยังชีพ, จัดตั้งโรงครัวพระราชทาน และอนุมัติ เงินเยียวยาน้ำท่วม เบื้องต้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
  • รับฟังปัญหาโดยตรง พูดคุยกับชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อให้เข้าใจถึงความต้องการและอุปสรรคในการทำงาน
  • ประกาศนโยบายเชิงรุก ใช้โอกาสนี้ในการเปิดตัว “แผนแม่บทการจัดการน้ำลุ่มน้ำยมเชิงโครงสร้าง” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลมีแผนระยะยาวในการแก้ไขปัญหา

“ผมมาวันนี้ไม่ได้มาเพื่อแค่แจกของ แต่มาเพื่อรับฟังและมาให้คำมั่นสัญญาว่า รัฐบาลชุดนี้จะยุติปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในลุ่มน้ำยมให้ได้ภายในวาระของรัฐบาล เราจะเปลี่ยนน้ำตาให้เป็นรอยยิ้ม และเปลี่ยนพื้นที่รับน้ำให้เป็นพื้นที่รับทรัพย์อย่างยั่งยืน” – คำกล่าวของนายกรัฐมนตรี เศรษฐวัฒน์ ชัยโยธา ระหว่างการลงพื้นที่

สากเหล็กจมบาดาลน้ำเริ่มเน่า ชาวบ้านโวยท่วมซ้ำซาก  ถามหาบริหารจัดการน้ำล้มเหลว วอนผู้ว่าฯเมืองชาละวันลงมาดู

เจาะแผน “จัดการน้ำลุ่มน้ำยม” ฉบับรัฐบาล ความหวังหรือความเสี่ยง?

แผนแม่บทที่รัฐบาลนำเสนอ ไม่ได้มุ่งเน้นการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว ซึ่งมักติดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการต่อต้านจากชุมชน แต่เป็นการผสมผสานหลายมาตรการเข้าด้วยกัน หรือที่เรียกว่า “ทางเลือกที่หลากหลาย”

โครงการย่อยภายใต้แผนแม่บท

  • การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็ก กระจายการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กหลายสิบแห่งตามลำน้ำสาขาของแม่น้ำยม เพื่อทำหน้าที่เป็น “ฟองน้ำ” คอยซับน้ำก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำสายหลัก
  • โครงการผันน้ำ (Flood Diversion Channel) ขุดคลองผันน้ำสายใหม่เพื่อเบี่ยงมวลน้ำส่วนเกินจากแม่น้ำยมไปยังแม่น้ำน่านหรือแม่น้ำเจ้าพระยาโดยตรงในช่วงที่เกิดวิกฤต
  • การปรับปรุงแก้มลิงธรรมชาติ ขุดลอกบึงบอระเพ็ดและแหล่งน้ำธรรมชาติอื่นๆ ในพื้นที่จังหวัดพิจิตรและนครสวรรค์ให้สามารถรองรับน้ำได้มากขึ้น
  • การประยุกต์ใช้ “บางระกำโมเดล” ส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มต่ำปรับเปลี่ยนปฏิทินการเพาะปลูก เพื่อให้สามารถใช้พื้นที่นาเป็น “ทุ่งรับน้ำ” ได้ในช่วงฤดูน้ำหลาก โดยมีค่าชดเชยจากภาครัฐ
  • การพัฒนาระบบพยากรณ์และเตือนภัยล่วงหน้า นำเทคโนโลยี AI และดาวเทียมมาใช้ในการพยากรณ์ปริมาณน้ำฝนและมวลน้ำให้มีความแม่นยำสูง เพื่อให้ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐสามารถเตรียมตัวรับมือได้ทันท่วงที

แม้แผนการนี้จะดูมีความหวัง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายมหาศาล ทั้งงบประมาณหลายหมื่นล้านบาทที่ต้องใช้ และระยะเวลาในการก่อสร้างที่อาจยาวนานหลายปี

พิจิตรอ่วมน้ำยมล้นตลิ่ง ท่วม 2 อำเภอ เกือบ 3 พันหลังคาเรือนจมบาดาล  ผวาแม่น้ำน่านเพิ่มสูงขึ้นรวดเร็ว

เสียงจากคนในพื้นที่ น้ำตา ความหวัง และคำถามถึงรัฐ

จากการพูดคุยกับชาวบ้านในอำเภอโพธิ์ประทับช้างที่ได้รับความเดือดร้อนหนักที่สุด เสียงสะท้อนที่ออกมามีทั้งน้ำตาและความหวัง

“ปีนี้น้ำมาเร็วและแรงกว่าทุกปี ข้าวในนากำลังจะเก็บเกี่ยวได้ จมหายไปหมด ไม่เหลืออะไรเลย” นางสมศรี ชาวนาวัย 58 ปีกล่าวทั้งน้ำตา “เห็นนายกฯ มาก็ดีใจ อย่างน้อยเขาก็ยังไม่ทิ้งเรา แต่แผนที่พูดมาจะได้ทำจริงไหม หรือพอข่าวเงียบก็หายไปเหมือนเดิม พวกเราเจ็บมาเยอะแล้ว”

ขณะที่ผู้นำชุมชนมองว่า “แผนการที่รัฐบาลเสนอมานั้นดี แต่สิ่งสำคัญคือความต่อเนื่องและความจริงใจ ชาวบ้านพร้อมจะร่วมมือถ้ารัฐบาลทำให้เราเห็นว่าจะไม่ทอดทิ้งกันกลางทาง และต้องมีกระบวนการการมีส่วนร่วมที่โปร่งใส ไม่ใช่แค่สั่งการลงมาอย่างเดียว”

บทวิเคราะห์ ความท้าทาย 3 ประการสู่ทางออกที่ยั่งยืน

การจะทำให้แผนแม่บทนี้ประสบความสำเร็จได้จริง รัฐบาลต้องก้าวข้ามความท้าทายสำคัญ 3 ประการ

  • ความท้าทายด้านงบประมาณและการเมือง โครงการขนาดใหญ่นี้ต้องใช้งบประมาณมหาศาลและใช้เวลาต่อเนื่องหลายปี ซึ่งอาจคาบเกี่ยวไปถึงรัฐบาลชุดหน้า การรักษาความต่อเนื่องของนโยบายและการจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอท่ามกลางความต้องการด้านอื่นๆ ของประเทศ คือความท้าทายที่สำคัญที่สุด
  • ความท้าทายด้านเทคนิคและสิ่งแวดล้อม การขุดคลองผันน้ำหรือสร้างอ่างเก็บน้ำใหม่ต้องผ่านการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่เข้มข้น และต้องมั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงเส้นทางน้ำจะไม่สร้างปัญหาใหม่ให้กับพื้นที่อื่น
  • ความท้าทายด้านการยอมรับของชุมชน การดำเนินโครงการต้องอาศัยการมีส่วนร่วมและการยอมรับจากคนในพื้นที่ การเวนคืนที่ดินและการชดเชยอย่างเป็นธรรมคือหัวใจสำคัญที่จะลดความขัดแย้งและทำให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้

บทสรุป จาก “การลงพื้นที่ฯ” สู่ “การลงมือทำ”

การ ลงพื้นที่ดูความเสียหาย ของนายกรัฐมนตรีในวันนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น มันได้สร้างความหวังและจุดประกายการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง แต่ความสำเร็จที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ “คำมั่นสัญญา” ที่ให้ไว้กับประชาชน ถูกแปรเปลี่ยนเป็นการ “ลงมือทำ” ที่ต่อเนื่อง จริงจัง และโปร่งใส

วงจรน้ำท่วมซ้ำซากในลุ่มน้ำยมจะสิ้นสุดลงได้หรือไม่ คำตอบไม่ได้อยู่ที่ถุงยังชีพหรือเงินเยียวยาเฉพาะหน้า แต่อยู่ที่ความกล้าหาญทางการเมืองที่จะผลักดันโครงการที่ยากและซับซ้อนให้สำเร็จลุล่วง ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์ที่แท้จริงของรัฐบาลในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับประชาชนได้อย่างยั่งยืน

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *