หากคุณคือผู้ใช้งาน TikTok หรือ Facebook ในปัจจุบัน โอกาสที่คุณจะเคยเห็นวิดีโอสั้นๆ ที่อ้างว่า “มวยไทย” มีต้นกำเนิดจาก “กุน ขแมร์” หรือ “ชุดไทย” คือมรดกของกัมพูชานั้นมีสูงมาก ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือความเข้าใจผิดส่วนบุคคล แต่คือแนวรบด้านใหม่ของ “สงครามข้อมูลข่าวสาร” ที่ซับซ้อนและทรงพลังยิ่งกว่าเดิม ปฏิบัติการเผยแพร่ ข่าวปลอม กัมพูชา กำลังทวีความรุนแรงขึ้น โดยใช้อัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียเป็นตัวขับเคลื่อน และเริ่มนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาเป็นอาวุธเพื่อโจมตีประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม และสร้างรอยร้าวในสังคมไทย บทความนี้จะทำการ “ผ่าตัด” กายวิภาคของลัทธิชาตินิยมไซเบอร์นี้ เพื่อให้เห็นถึงกลยุทธ์, เป้าประสงค์, ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง และแนวทางที่ประเทศไทยต้องสร้างเกราะป้องกันตัวเองในสมรภูมิดิจิทัลครั้งนี้
จากข้อพิพาทชายแดนสู่สมรภูมิ TikTok วิวัฒนาการของข่าวปลอม
ในอดีต ข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชามักจำกัดอยู่ในประเด็นเขตแดน เช่น กรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งการโต้แย้งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสื่อกระแสหลัก แต่การมาถึงของโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นอย่าง TikTok ได้เปลี่ยนสนามรบไปโดยสิ้นเชิง
- ความรวดเร็วในการแพร่กระจาย อัลกอริทึมของ TikTok ถูกออกแบบมาเพื่อนำเสนอเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์ได้ดี ทำให้วิดีโอชาตินิยมที่เร้าความรู้สึกสามารถกลายเป็นไวรัลได้ในชั่วข้ามคืน เข้าถึงผู้ชมหลายล้านคนโดยไม่ผ่านการกลั่นกรอง
- ต้นทุนการผลิตต่ำ ใครๆ ก็สามารถผลิตวิดีโอสั้นๆ ด้วยสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียว ทำให้เกิด “ผู้ผลิตเนื้อหา” จำนวนมากที่พร้อมจะสร้างวาทกรรมชาตินิยม
- การเข้าถึงเยาวชน TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำให้การปลูกฝังข้อมูลที่บิดเบือนสามารถทำได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
สมรภูมิจึงเปลี่ยนจาก “พื้นที่จริง” มาเป็น “พื้นที่เสมือน” ที่การต่อสู้เกิดขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง
ถอดรหัสวาทกรรม “เคลมวัฒนธรรม” และ “ประวัติศาสตร์ฉบับบิดเบือน”
เนื้อหาหลักของปฏิบัติการ ข่าวปลอม กัมพูชา มักจะวนเวียนอยู่กับ 2 ประเด็นหลัก
1. กรณีศึกษา มวยไทย vs กุน ขแมร์ และการ “เคลมวัฒนธรรม”
ประเด็นเรื่อง “มวยไทย” ถูกอ้างว่าเป็นของ “กุน ขแมร์” ถือเป็นกรณีศึกษาที่ชัดเจนที่สุด มีการสร้างวาทกรรมอย่างเป็นระบบว่ามวยไทยลอกเลียนแบบมาจากศิลปะการต่อสู้โบราณของกัมพูชา โดยมักจะนำภาพสลักจากปราสาทหินมาเป็นหลักฐานอ้างอิง และปฏิเสธหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของฝั่งไทยทั้งหมด การกระทำในลักษณะ “เคลมวัฒนธรรม” เช่นนี้ยังลามไปถึงเรื่องอื่นๆ เช่น ชุดไทย, อาหารไทย และโขน ซึ่งถูกอ้างว่าเป็นมรดกของกัมพูชาแต่เพียงผู้เดียว
2. กรณีศึกษา การอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนและบุคคลในประวัติศาสตร์
มีการสร้างเนื้อหาที่บิดเบือนประวัติศาสตร์ โดยอ้างว่าดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเคยเป็นของอาณาจักรขอมโบราณ และคนไทยเป็นผู้รุกราน หรือแม้กระทั่งการอ้างว่าบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยบางท่านมีเชื้อสายเขมร โดยมีเจตนาเพื่อลดทอนความชอบธรรมและความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ชาติไทย
เบื้องหลังปฏิบัติการ ใครคือผู้สร้างและทำไปเพื่ออะไร?
คำถามสำคัญคือใครอยู่เบื้องหลังปฏิบัติการเหล่านี้ และทำไปเพื่ออะไร ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้หลายมิติ
- กลุ่มชาตินิยมสุดโต่ง เป็นกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไปที่มีแนวคิดชาตินิยมรุนแรง และเชื่อในข้อมูลที่บิดเบือนเหล่านี้จริงๆ พวกเขาผลิตและเผยแพร่เนื้อหาด้วยความสมัครใจ
- อินฟลูเอนเซอร์ที่หวังผล ผู้สร้างคอนเทนต์บางรายอาจไม่ได้เชื่อในข้อมูลนั้นๆ แต่พบว่าการสร้างเนื้อหาที่ปลุกปั่นและสร้างความขัดแย้งสามารถเรียกยอดวิวและผู้ติดตามได้อย่างมหาศาล
- ปฏิบัติการของรัฐ (State-Sponsored Operation) นักวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ปฏิบัติการที่เป็นระบบและเกิดขึ้นพร้อมๆ กันในหลายแพลตฟอร์ม อาจได้รับการสนับสนุนทางอ้อมจากภาครัฐของกัมพูชา เพื่อเป้าประสงค์ทางการเมือง เช่น การสร้างความสามัคคีและเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาภายในประเทศ หรือเพื่อสร้างความชอบธรรมในการอ้างสิทธิ์ต่างๆ บนเวทีโลก
อาวุธยุคใหม่ เมื่อ AI และ Deepfake ทำให้ข่าวปลอมเนียนขึ้น
ความน่ากังวลในปัจจุบัน (ปี 2568) คือการที่ผู้ไม่หวังดีเริ่มนำ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาเป็นเครื่องมือ
- การสร้างภาพและวิดีโอปลอม (Deepfake) สามารถสร้างวิดีโอปลอมของนักประวัติศาสตร์หรือบุคคลสำคัญของไทยพูดในสิ่งที่บิดเบือนได้อย่างแนบเนียน
- การสร้างเสียงสังเคราะห์ สามารถปลอมเสียงของผู้เชี่ยวชาญเพื่อสร้างคลิปเสียงให้ข้อมูลเท็จ
- การเขียนบทความและสคริปต์ AI สามารถช่วยเขียนบทความหรือสคริปต์วิดีโอที่มีเนื้อหาบิดเบือนได้อย่างรวดเร็วและมีโครงสร้างที่น่าเชื่อถือ
เทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้การแยกแยะ ข่าวปลอม กัมพูชา ออกจากความจริงทำได้ยากขึ้นกว่าเดิมมาก
ผลกระทบที่มากกว่าแค่ดราม่า ความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานและสังคมที่แตกแยก
แม้บางคนจะมองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเพียง “ดราม่า” ในโลกออนไลน์ แต่ผลกระทบของมันร้ายแรงกว่านั้น
- บ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน สร้างความเกลียดชังและอคติระหว่างคนไทยและคนกัมพูชาในระดับประชาชน ซึ่งยากต่อการฟื้นฟู
- กระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สร้างบรรยากาศของความไม่ไว้วางใจ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความร่วมมือในด้านอื่นๆ เช่น เศรษฐกิจและการเมือง
- สร้างความแตกแยกในสังคมไทย ทำให้เกิดการถกเถียงและตอบโต้กันอย่างรุนแรงในสังคมออนไลน์ไทย เกิดเป็นภาวะ “ต่างคนต่างเชื่อ” ในข้อมูลของตน
เกราะป้องกันของไทย การรับมือของภาครัฐและพลเมืองดิจิทัล
การต่อสู้ใน สงครามข้อมูลข่าวสาร ครั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
- ภาครัฐ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) และศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) ต้องทำงานเชิงรุกในการตรวจสอบและชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องอย่างรวดเร็ว ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศต้องใช้ช่องทางการทูตในการสื่อสารและลดความตึงเครียด
- ภาควิชาการ นักประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญต้องออกมาให้ความรู้และนำเสนอหลักฐานที่ถูกต้องและรอบด้าน เพื่อหักล้างข้อมูลที่บิดเบือน
- ภาคประชาชน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้าง “ภูมิคุ้มกันดิจิทัล” ให้กับคนไทยทุกคน
- คิดก่อนเชื่อ ตั้งคำถามกับข้อมูลที่ดูเร้าอารมณ์หรือสุดโต่งเกินไปเสมอ
- ตรวจสอบแหล่งข่าว ดูว่าข้อมูลมาจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือหรือไม่
- ไม่ส่งต่อข้อมูลที่ไม่แน่ใจ (Don’t Share) การหยุดแชร์คือการตัดวงจรของข่าวปลอมที่มีประสิทธิภาพที่สุด
- รายงานเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม ช่วยกันรายงานโพสต์หรือวิดีโอที่เป็นข่าวปลอมไปยังผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม
บทสรุปของสงครามครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะเสียงดังกว่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายใดจะสามารถยึดมั่นในความจริง, ข้อเท็จจริง และการใช้สติปัญญาในการสื่อสารได้ดีกว่ากัน ซึ่งนี่คือความท้าทายที่พลเมืองดิจิทัลไทยทุกคนต้องเผชิญร่วมกัน
แหล่งที่มาจาก : am2con