แม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งกัมพูชาแล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเงาของ “สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน” ยังคงทอดยาวและครอบงำทุกตารางนิ้วของการเมืองกัมพูชาอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่โลกกำลังจับตามองกัมพูชายุคใหม่ภายใต้การนำของบุตรชาย พลเอก ฮุน มาเนต แต่ทิศทางของประเทศยังคงถูกกำหนดโดยมรดก การตัดสินใจ และ “วีรกรรม” ของบุรุษผู้ครองอำนาจมาเกือบ 4 ทศวรรษ บทความนี้จะไม่ได้เพียงย้อนรอยวีรกรรมที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติกัมพูชา แต่จะเจาะลึกและตีแผ่การกระทำครั้งสำคัญเหล่านั้นในหลากหลายมิติ ทั้งในฐานะผู้ปลดแอกจากยุคฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, ผู้นำที่สร้างสันติภาพ, ผู้เผด็จการที่ทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม และผู้กำหนดเกมความสัมพันธ์กับประเทศไทยที่ทั้งรักทั้งชัง เพื่อหาคำตอบว่าอนาคตของกัมพูชาและภูมิภาคนี้จะเดินไปในทิศทางใดภายใต้อิทธิพลของเขา
จากผู้หนีตายสู่ผู้กุมอำนาจ ปฐมบทแห่ง “วีรกรรม”
เรื่องราวของ ฮุนเซน เริ่มต้นขึ้นอย่างน่าทึ่ง เขาเคยเป็นผู้บังคับกองพันหนุ่มของเขมรแดง แต่เมื่อตระหนักถึงความโหดร้ายของระบอบ เขาได้ตัดสินใจครั้งสำคัญที่เปลี่ยนชะตาชีวิตตัวเองและประเทศชาติ นั่นคือการหนีตายมายังเวียดนามในปี พ.ศ. 2520
“วีรกรรม” บทแรกที่ถูกกล่าวขานมากที่สุดคือการที่เขากลับมาพร้อมกับกองทัพเวียดนาม เพื่อโค่นล้มระบอบเขมรแดงของพล พต ในปี พ.ศ. 2522 การกระทำครั้งนี้ได้ยุติยุคสมัยแห่ง “ทุ่งสังหาร” ที่คร่าชีวิตชาวกัมพูชาไปเกือบ 2 ล้านคน และนี่คือความชอบธรรมพื้นฐานที่ ฮุนเซน และพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ใช้อ้างอิงถึงความดีความชอบในการสร้างชาติใหม่มาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่ง การขึ้นสู่อำนาจของเขาก็มาพร้อมกับการที่กัมพูชาต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลของเวียดนามนานนับทศวรรษ ซึ่งเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและถูกฝ่ายตรงข้ามใช้โจมตีเสมอมา
“นโยบายชนะ-ชนะ” สันติภาพที่ต้องแลกมา
หลังจากการถอนทหารเวียดนามและการเลือกตั้งโดยสหประชาชาติในปี 2536 กัมพูชายังคงบอบช้ำจากสงครามกลางเมืองกับกลุ่มเขมรแดงที่เหลืออยู่ “วีรกรรม” บทที่สองที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างคือ “นโยบายชนะ-ชนะ (Win-Win Policy)” ในช่วงปลายทศวรรษ 1990
นโยบายนี้คือการเปิดโอกาสให้แกนนำและกองกำลังเขมรแดงที่เหลือยอมวางอาวุธและเข้ามอบตัว โดยรับประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และให้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองและสังคมได้ นโยบายนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม สามารถยุติสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมานานหลายสิบปีได้อย่างสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2541 นำกัมพูชาเข้าสู่ยุคแห่งสันติภาพอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในรอบหลายชั่วอายุคน และเปิดทางสู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดในเวลาต่อมา
แต่สันติภาพนี้ก็มีราคาที่ต้องจ่าย นักวิจารณ์หลายคนมองว่านโยบายนี้คือการ “นิรโทษกรรม” ให้กับอดีตอาชญากรสงคราม ทำให้แกนนำเขมรแดงระดับสูงหลายคนไม่ต้องรับผิดในสิ่งที่ได้กระทำลงไปในอดีต
ด้านมืดแห่งอำนาจ การเมืองแบบ “ฮุนเซน”
หากสองบทแรกคือด้านสว่าง “วีรกรรม” ในอีกมิติหนึ่งของ ฮุนเซน คือการใช้ความเฉียบขาดและอำนาจเพื่อรวบและรักษาอำนาจทางการเมืองของตนเองและพรรค CPP ไว้อย่างเหนียวแน่น
- รัฐประหารปี 2540 หลังจากแพ้การเลือกตั้งในปี 2536 และต้องจัดตั้งรัฐบาลผสมในฐานะ “นายกรัฐมนตรีร่วม” กับสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ ความขัดแย้งที่ตึงเครียดได้นำไปสู่การปะทะกันด้วยอาวุธในกรุงพนมเปญ ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายฮุนเซน และทำให้เขากลายเป็นผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จแต่เพียงผู้เดียว
- การทำลายล้างฝ่ายค้าน ตลอดการครองอำนาจ เขาได้ใช้กระบวนการทางกฎหมายและอำนาจรัฐในการบั่นทอนและทำลายพรรคฝ่ายค้านอย่างเป็นระบบ จนถึงจุดสูงสุดในปี 2560 ที่มีการยุบพรรคสงเคราะห์ชาติ (CNRP) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุด และจับกุมผู้นำพรรค ทำให้การเลือกตั้งครั้งต่อๆ มาไม่มีคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้ออีกเลย
- การควบคุมสื่อและภาคประชาสังคม มีการจำกัดเสรีภาพของสื่ออย่างรุนแรง และปราบปรามเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักกิจกรรมและองค์กรพัฒนาเอกชนอย่างต่อเนื่อง
การกระทำเหล่านี้ทำให้ชาติตะวันตกและองค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลกมองว่า ฮุนเซน คือผู้นำเผด็จการที่ทำลายระบอบประชาธิปไตยในกัมพูชา แต่สำหรับผู้สนับสนุนเขา นี่คือความจำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพของชาติและป้องกันไม่ให้ประเทศกลับไปสู่ความวุ่นวายอีกครั้ง
มรดกต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เพื่อนบ้านที่ “ทั้งรักทั้งชัง”
สำหรับประเทศไทย ชื่อของ ฮุนเซน ผูกพันกับความทรงจำที่ซับซ้อน
- กรณีปราสาทพระวิหาร เขาคือนักการเมืองที่ใช้ประเด็นปราสาทพระวิหารในการปลุกกระแสชาตินิยมในประเทศอย่างได้ผล และนำไปสู่ความขัดแย้งตามแนวชายแดนกับประเทศไทยหลายครั้งในช่วงปี 2551-2554 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในยุคปัจจุบัน
- ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้นำไทย เขามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเป็นพิเศษกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งครั้งหนึ่งเคยแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว สร้างความขุ่นเคืองให้กับรัฐบาลไทยในขณะนั้นเป็นอย่างมาก
- ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ในอีกด้านหนึ่ง เขาคือผู้ที่เปิดประตูให้กับการลงทุนของไทยในกัมพูชา ทำให้มูลค่าการค้าชายแดนและการลงทุนของไทยเติบโตอย่างมหาศาล
ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาในยุคของฮุนเซนจึงมีลักษณะเหมือน “รถไฟเหาะ” ที่มีทั้งช่วงเวลาที่ราบรื่นและช่วงเวลาที่ตึงเครียดอย่างหนัก ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์และสถานการณ์การเมืองภายในของทั้งสองประเทศ
ยุคใหม่ใต้เงาเดิม ฮุนเซนในบทบาท “บิดาแห่งชาติ”
การส่งมอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับบุตรชาย พลเอก ฮุน มาเนต ในปี 2566 ไม่ได้หมายถึงการวางมือทางการเมืองของ ฮุนเซน ในทางตรงกันข้าม เขายังคงดำรงตำแหน่งสำคัญคือประธานพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) และประธานวุฒิสภา ทำให้เขายังคงเป็น “ผู้มีอำนาจตัวจริง” ที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจสำคัญทั้งหมด
นักวิเคราะห์มองว่านี่คือรูปแบบการสืบทอดอำนาจที่ถูกวางแผนมาอย่างดี เพื่อ
- สร้างเสถียรภาพ ทำให้การเปลี่ยนผ่านอำนาจเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เกิดการต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในพรรค
- รับประกันความต่อเนื่องของนโยบาย ทำให้แน่ใจว่านโยบายหลักๆ ทั้งในและต่างประเทศยังคงดำเนินไปในทิศทางเดิม
- เป็นพี่เลี้ยงและผู้คุ้มกัน คอยให้คำแนะนำและปกป้องรัฐบาลของบุตรชายจากแรงเสียดทานทางการเมือง
ดังนั้น แม้กัมพูชาจะอยู่ในยุคของ ฮุน มาเนต แต่ทิศทางของประเทศ โดยเฉพาะนโยบายต่างประเทศและความสัมพันธ์กับไทย จะยังคงดำเนินไปตามแนวทางที่ ฮุนเซน ได้วางรากฐานเอาไว้ต่อไปอีกนาน ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ประเทศไทยและอาเซียนต้องทำความเข้าใจและปรับตัวเพื่อรับมือกับ “เงา” ของบุรุษผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์กัมพูชาสมัยใหม่คนนี้
แหล่งที่มาจาก : am2con