เสียงหวีดแหลมบาดหูที่ตามมาด้วยเสียงระเบิดสะเทือนเลือนลั่นต่อเนื่องราวกับเสียงฟ้าผ่า ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่น่าหวาดหวั่นสำหรับผู้คนตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาร์ โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก นั่นคือสัญญาณของ “ฝนเหล็ก” จากระบบปืนใหญ่จรวด BM-21 เกรด (Grad) อาวุธทำลายล้างยุคโซเวียตที่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในสงครามกลางเมืองเมียนมาร์ที่กำลังลุกเป็นไฟ จากที่เคยเป็นเพียงข่าวความขัดแย้งในประเทศเพื่อนบ้าน วันนี้อันตรายจากจรวดชนิดนี้ได้ข้ามพรมแดนมาสร้างความสูญเสียและความหวาดกลัวถึงในแผ่นดินไทย นี่คือบทวิเคราะห์เชิงลึกของอาวุธมรณะที่กำลังทดสอบความมั่นคงของชาติและชะตากรรมของผู้คนริมฝั่งแม่น้ำเมย
BM-21 เกรด คืออะไร? ทำความรู้จัก “ออร์แกนของสตาลิน” ยุคใหม่
BM-21 เกรด (BM ย่อมาจาก Boyevaya Mashina หรือ “รถรบ” ในภาษารัสเซีย) คือระบบเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องขนาด 122 มม. ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยสหภาพโซเวียตตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 แม้จะเก่าแก่กว่า 60 ปี แต่มันยังคงถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในกองทัพกว่า 50 ประเทศทั่วโลก จนได้รับฉายาว่าเป็น “AK-47 แห่งวงการปืนใหญ่” เนื่องจากความเรียบง่าย ทนทาน และอำนาจการทำลายล้างสูง
ปรัชญาการทำลายล้าง พลังยิงแบบปูพรม
หัวใจของ BM-21 เกรด ไม่ใช่ความแม่นยำ แต่เป็น “อำนาจการยิงแบบพื้นที่ (Area Saturation Firepower)”
- 40 ลำกล้อง หนึ่งระบบติดตั้งท่อยิงจรวดถึง 40 ท่อบนรถบรรทุก Ural-375D
- ยิงหมดแผงใน 20 วินาที สามารถยิงจรวดทั้ง 40 นัดออกไปได้ในเวลาเพียง 20 วินาที
- พื้นที่ทำลายล้างกว้างขวาง จรวดทั้ง 40 นัดสามารถทำลายล้างพื้นที่เทียบเท่ากับสนามฟุตบอลหลายสนามให้ราบเป็นหน้ากลองได้ในพริบตาด้วยสะเก็ดระเบิดนับหมื่นชิ้น
- ระยะยิงไกล จรวดมาตรฐานมีระยะยิงประมาณ 20 กิโลเมตร แต่จรวดรุ่นใหม่ๆ สามารถยิงได้ไกลถึง 40 กิโลเมตร ทำให้สามารถยิงจากลึกเข้ามาในแดนของฝ่ายหนึ่งไปยังอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างง่ายดาย
ด้วยเหตุนี้ BM-21 จึงไม่ใช่อาวุธสำหรับการโจมตีเป้าหมายที่ต้องการความแม่นยำสูง แต่เป็นอาวุธสำหรับ “กวาดล้าง” พื้นที่เป้าหมาย สร้างความตื่นตระหนก และทำลายขวัญกำลังใจของฝ่ายตรงข้ามอย่างได้ผล
ราคาถูก แพร่หลาย และใช้งานง่าย เหตุผลที่มันยังอยู่ยงคงกระพัน
เหตุผลที่อาวุธยุคสงครามเย็นนี้ยังคงถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย มาจากปัจจัยสำคัญ 3 ประการ คือ มันมีราคาถูกเมื่อเทียบกับระบบปืนใหญ่สมัยใหม่, มีจำนวนมหาศาลอยู่ทั่วโลก และมีกลไกการใช้งานที่ไม่ซับซ้อน ทำให้ง่ายต่อการฝึกฝนและซ่อมบำรุง
สมรภูมิเมียนมาร์ เมื่อ “ฝนเหล็ก” กลายเป็นอาวุธประจำวัน
ในสมรภูมิเมียนมาร์ BM-21 เกรด กลายเป็นอาวุธสำคัญที่ถูกใช้งานโดยกองทัพรัฐบาลเมียนมาร์ (Tatmadaw) และกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ขนาดใหญ่บางกลุ่ม มันถูกใช้เพื่อหวังผลทางยุทธวิธีหลายประการ
- โจมตีเพื่อทำลายล้าง ใช้ในการระดมยิงใส่ที่มั่นหรือพื้นที่รวมพลของฝ่ายตรงข้าม
- ยิงกดดันและสกัดกั้น ใช้ยิงเพื่อตรึงกำลังฝ่ายตรงข้ามไม่ให้เคลื่อนที่ หรือสกัดกั้นการส่งกำลังบำรุง
- สร้างความหวาดกลัว (Weapon of Terror) ที่น่ากังวลที่สุดคือการใช้มันยิงถล่มเมืองและชุมชนของพลเรือนที่ถูกมองว่าเป็นฐานสนับสนุนของฝ่ายต่อต้าน ซึ่งเป็นการ ยิงแบบไม่จำแนกเป้าหมาย และเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม
เมืองสำคัญตามแนวชายแดนอย่างเมียวดี (ตรงข้ามอำเภอแม่สอด) และพื้นที่ในรัฐกะเหรี่ยงและรัฐคะยา กลายเป็นเป้าหมายของ “ฝนเหล็ก” อยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งที่เสียงจรวดดังขึ้น มันคือสัญญาณแห่งความตายและความสูญเสียที่กำลังจะตามมา
ผลกระทบถึงไทย เสียงระเบิดที่ดังข้ามแม่น้ำเมย
จากที่เคยเป็นเพียงเรื่องราวในฝั่งเพื่อนบ้าน วันนี้ผลกระทบจาก BM-21 เกรด ได้ข้ามพรมแดนมาอย่างเป็นรูปธรรมและน่ากังวล
ชีวิตและความปลอดภัยของคนไทยชายแดน
หลายครั้งที่จรวดซึ่งมีวิถีการยิงที่ไม่แน่นอนได้พลัดตกลงมาในฝั่งไทย สร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชนในอำเภอแม่สอดและพื้นที่ใกล้เคียง แม้จะยังไม่มีรายงานการสูญเสียชีวิตของคนไทยโดยตรง แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น มันได้สร้างความหวาดผวาและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพจิตใจของประชาชน พวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่กับความไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าจรวดจะตกลงมาที่บ้านของตนเองเมื่อใด
“กลางคืนนอนไม่หลับ พอได้ยินเสียงเครื่องบินหรือเสียงดังๆ ก็สะดุ้งนึกว่าเป็นเสียงจรวดแล้ว เราอยู่บ้านเราแท้ๆ แต่ทำไมต้องมากลัวอะไรแบบนี้ด้วย” – ชาวบ้านในพื้นที่ริมเมย อำเภอแม่สอด กล่าวกับผู้สื่อข่าว
คลื่นผู้อพยพและวิกฤตมนุษยธรรม
การระดมยิงอย่างหนักด้วย ปืนใหญ่จรวด ในฝั่งเมียนมาร์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้พลเรือนหลายพันคนต้องหนีตายข้ามแม่น้ำเมยมายังฝั่งไทย ก่อให้เกิดวิกฤตผู้ลี้ภัยสงครามที่ประเทศไทยต้องแบกรับภาระให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ซึ่งสร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลต่อทรัพยากรในพื้นที่
ความท้าทายของกองทัพไทย การรับมือกับภัยคุกคามที่ไร้ความแม่นยำ
การรับมือกับภัยคุกคามจาก BM-21 เกรด เป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับกองทัพไทย
- การป้องกันที่ยากลำบาก การป้องกันจรวดที่ถูกยิงมาเป็นจำนวนมากพร้อมๆ กันและไม่มีรูปแบบที่แน่นอน เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ ทั่วไปซึ่งส่วนใหญ่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับอากาศยานหรือจรวดนำวิถี
- การตอบโต้ที่ละเอียดอ่อน แม้กองทัพบกไทยจะมีระบบปืนใหญ่และจรวดหลายลำกล้องที่มีขีดความสามารถสูง แต่การจะยิงตอบโต้ข้ามไปยังฝั่งเพื่อนบ้านเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง และอาจนำไปสู่การขยายความขัดแย้งระหว่างประเทศได้
- มาตรการเฝ้าระวัง สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในขณะนี้คือการใช้ระบบเรดาร์ตรวจจับที่มาของตำบลกระสุนตกเพื่อแจ้งเตือนประชาชน, การเสริมกำลังทหารตามแนวชายแดนเพื่อเฝ้าระวังและรักษาอธิปไตย และการใช้ช่องทางการทูตในการประท้วงและกดดันให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น
บทเรียนจากยูเครนสู่เมียนมาร์ ทำไม BM-21 ยังคงเป็นราชาแห่งสนามรบ?
ไม่ใช่แค่ในเมียนมาร์ แต่ในสงครามขนาดใหญ่อย่างความขัดแย้งในยูเครน BM-21 เกรด ก็ยังคงถูกใช้งานอย่างหนักโดยทั้งสองฝ่าย มันพิสูจน์ให้เห็นว่าในสงครามยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยโดรนและอาวุธไฮเทค “อำนาจการยิงแบบมหาศาล” ของอาวุธยุคเก่าก็ยังคงมีความสำคัญและชี้ขาดผลแพ้ชนะในสนามรบได้เช่นกัน
บทสรุป เมื่อเสียงของสงครามดังที่หน้าบ้าน
สถานการณ์การใช้ BM-21 เกรด ตามแนวชายแดนไทย-พม่า คือเครื่องยืนยันว่าเปลวไฟของสงครามในประเทศเพื่อนบ้านกำลังลุกลามและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของไทยอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ มันไม่ใช่แค่เรื่องของกระสุนหรือจรวดที่พลัดตกลงมา แต่เป็นเรื่องของชีวิต ความปลอดภัย และเสถียรภาพของประเทศ
ทางออกของปัญหานี้ต้องอาศัยการทำงานแบบบูรณาการ ทั้งมาตรการทางทหารที่เข้มแข็งเพื่อปกป้องอธิปไตย, การทูตเชิงรุกเพื่อเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับวิกฤตด้านมนุษยธรรม เพราะตราบใดที่ “ฝนเหล็ก” ยังคงโปรยปรายลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง ตราบนั้นความสงบสุขของประชาชนไทยตามแนวชายแดนก็จะยังคงเป็นสิ่งที่จับต้องได้ยากต่อไป
แหล่งที่มาจาก : am2con