นานกว่าทศวรรษที่ชื่อของ “Gripen” ในสายตาคนไทยคือภาพของเครื่องบินรบสมรรถนะสูงที่ปฏิบัติภารกิจอย่างเงียบเชียบในฐานะ “ผู้พิทักษ์แห่งกองบิน 7” เฝ้าระวังผลประโยชน์ของชาติในพื้นที่ภาคใต้และอ่าวไทย แต่ ณ วันนี้ สถานะของ Gripen ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากเครื่องบินรบเฉพาะกิจ มันได้ก้าวขึ้นมาเป็น “ตัวเต็งอันดับหนึ่ง” บนเวทีการจัดหาเครื่องบินรบหลักฝูงใหม่ของชาติ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของดีล F-35 จากสหรัฐฯ บทความนี้จะเจาะลึกทุกมิติว่าเหตุใด “นักรบอัจฉริยะ” จากสวีเดนลำนี้ จึงอาจเป็นคำตอบที่ลงตัวที่สุดสำหรับอนาคตของกองทัพอากาศไทย
ทศวรรษแห่งความสำเร็จ Gripen C/D และปรัชญา “System of Systems”
จุดเริ่มต้นของเรื่องราว Gripen ไทย ต้องย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2551 เมื่อกองทัพอากาศไทยตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ในการจัดหา JAS 39 Gripen C/D จำนวน 12 ลำ พร้อมเครื่องบินควบคุมและแจ้งเตือนทางอากาศ (AEW&C) Saab 340 Erieye จำนวน 2 ลำ ภายใต้โครงการ Peace Suvarnabhumi การจัดหาครั้งนั้นไม่ได้เป็นเพียงการซื้อเครื่องบิน แต่เป็นการนำเข้าปรัชญาการรบสมัยใหม่ที่เรียกว่า “System of Systems” หรือ “ระบบแห่งระบบ”
ไม่ใช่แค่เครื่องบิน แต่คือเครือข่ายป้องกันภัยทางอากาศ
หัวใจของปรัชญานี้ คือการที่เครื่องบินรบไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง แต่ทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายข้อมูลความเร็วสูง (Data Link) กับสินทรัพย์อื่นๆ ของกองทัพ
- Gripen (The Fighter) ทำหน้าที่เป็น “นักรบ” ในแนวหน้า มีความคล่องแคล่วสูง ใช้อาวุธได้หลากหลาย
- Saab 340 AEW&C (The Eyes in the Sky) เปรียบเสมือน “ดวงตาบนท้องฟ้า” ที่มีเรดาร์ Erieye อันทรงพลัง สามารถตรวจจับเป้าหมายได้จากระยะไกลหลายร้อยกิโลเมตร และส่งข้อมูลตรงไปยัง Gripen
- Command & Control Center (The Brain) ศูนย์บัญชาการและควบคุมภาคพื้นดิน ทำหน้าที่เป็น “สมอง” วิเคราะห์ข้อมูลและสั่งการ
การทำงานร่วมกันนี้ทำให้ Gripen ไทย สามารถ “เห็นก่อน ถูกยิงก่อน” (See First, Shoot First) แม้ตัวเองจะปิดเรดาร์เพื่อพรางตัวจากข้าศึกก็ตาม ความสำเร็จในการบูรณาการระบบนี้ที่กองบิน 7 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความคุ้มค่า จนกลายเป็นต้นแบบที่กองทัพอากาศภาคภูมิใจ และเป็นรากฐานสำคัญในการพิจารณา Gripen สำหรับภารกิจที่ใหญ่กว่าในวันนี้
ก้าวต่อไป ทำความรู้จัก Gripen E “นักรบอัจฉริยะ” รุ่นใหม่
ในขณะที่ Gripen C/D คือเครื่องบินรบรุ่นที่ 4.5 ที่ยอดเยี่ยม, Gripen E/F (E สำหรับรุ่น 1 ที่นั่ง, F สำหรับ 2 ที่นั่ง) ที่ Saab พัฒนาขึ้นมาใหม่ ถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญจนถูกขนานนามว่าเป็น “นักรบอัจฉริยะ” ที่แท้จริง มันถูกออกแบบใหม่ในหลายส่วนเพื่อรับมือกับภัยคุกคามในศตวรรษที่ 21
สมองและสายตาที่เหนือกว่าด้วยเรดาร์ AESA และสงครามอิเล็กทรอนิกส์
- เรดาร์ AESA Raven ES-05 ติดตั้งเรดาร์แบบ Active Electronically Scanned Array ที่ทันสมัย สามารถติดตามเป้าหมายได้หลายสิบเป้าหมายพร้อมกัน ทั้งทางอากาศ ทางบก และทางทะเล ด้วยความแม่นยำสูง และยากต่อการถูกรบกวนสัญญาณ
- ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (EW) ขั้นสูง มีระบบตรวจจับและต่อต้านภัยคุกคามรอบตัว ทำให้ Gripen E เป็นหนึ่งในเครื่องบินรบที่เอาตัวรอดในสนามรบได้ดีที่สุด สามารถทำภารกิจในสภาพแวดล้อมที่มีการป้องกันภัยทางอากาศหนาแน่นได้
พละกำลังและพิษสงที่เพิ่มขึ้น
- เครื่องยนต์ใหม่ F414 เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ General Electric F414 ที่ให้แรงขับสูงกว่าเดิม ทำให้มีอัตราไต่และอัตราเร่งที่ดีขึ้น สามารถทำความเร็วเหนือเสียงต่อเนื่อง (Supercruise) ได้โดยไม่ต้องใช้สันดาปท้าย
- บรรทุกได้มากขึ้น บินได้ไกลขึ้น โครงสร้างภายในถูกออกแบบใหม่ ทำให้บรรจุเชื้อเพลิงได้มากขึ้นกว่า 40% และมีตำบลติดอาวุธเพิ่มขึ้นเป็น 10 ตำบล สามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศรุ่นใหม่อย่าง Meteor และ IRIS-T รวมถึงอาวุธโจมตีภาคพื้นดินที่มีความแม่นยำสูงได้หลากหลายชนิด
ทำไม Gripen E ถึงเป็น “ตัวเลือกเชิงยุทธศาสตร์” สำหรับไทย?
การที่ Gripen E กลายเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นขึ้นมา ไม่ได้มาจากสมรรถนะของเครื่องบินเพียงอย่างเดียว แต่มาจากปัจจัยเชิงยุทธศาสตร์ที่ตอบโจทย์ของประเทศไทยในยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว
1. ความคุ้มค่า เมื่อ “งบประมาณ” เป็นปัจจัยสำคัญ
ในยุคที่งบประมาณแผ่นดินมีจำกัดและต้องจัดสรรให้กับปัญหาปากท้องของประชาชนเป็นอันดับแรก การทุ่มเงินหลายแสนล้านบาทเพื่อซื้ออาวุธย่อมถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด Gripen E มีจุดเด่นที่ชัดเจนในเรื่องนี้
- ราคาต่อหน่วย มีราคาจัดหาต่อลำที่ต่ำกว่าเครื่องบินรบยุคที่ 5 อย่าง F-35A อย่างมีนัยสำคัญ
- ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการ (Operating Cost) มีชื่อเสียงว่าเป็นเครื่องบินรบสมรรถนะสูงที่มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินต่ำที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก ทำให้ในงบประมาณที่เท่ากัน กองทัพอากาศสามารถฝึกนักบินและคงความพร้อมรบได้ในระดับที่สูงกว่า
2. การถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้างความยั่งยืนให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
นี่คือข้อเสนอที่ “เปลี่ยนเกม” และเป็นจุดแข็งที่สุดของ Saab ข้อเสนอการขาย Gripen ไทย มักจะมาพร้อมกับแพ็คเกจ การถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) ที่เป็นรูปธรรม ซึ่งอาจรวมถึง
- การสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงและดูแลรักษาในประเทศ
- การมีส่วนร่วมของบริษัทไทยในการผลิตชิ้นส่วนบางอย่าง
- ที่สำคัญที่สุดคือ การเข้าถึงและพัฒนาซอฟต์แวร์ (Source Code) ซึ่งจะทำให้วิศวกรไทยสามารถปรับปรุง แก้ไข และพัฒนาระบบต่างๆ ของเครื่องบินได้เองในอนาคต เป็นการสร้างความมั่นคงและลดการพึ่งพาจากต่างชาติอย่างแท้จริง
3. ความต่อเนื่องทางยุทธวิธีและความเสี่ยงต่ำ
การที่กองทัพอากาศไทยมีประสบการณ์ในการใช้งานระบบของ Gripen มาแล้วกว่า 10 ปี ทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ Gripen E มีความเสี่ยงต่ำ นักบินและช่างเทคนิคมีความคุ้นเคยกับปรัชญาการออกแบบ สามารถต่อยอดองค์ความรู้เดิมได้ทันที ลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมบุคลากรใหม่ทั้งหมด
บทวิเคราะห์เปรียบเทียบ Gripen E บนเวทีเดียวกับ F-35A
เมื่อต้องตัดสินใจเลือกระหว่าง Gripen E และ F-35A มันคือการเลือกระหว่างสองปรัชญาที่แตกต่างกัน
คุณสมบัติ | Saab Gripen E | Lockheed Martin F-35A |
คุณสมบัติเด่น | นักรบอัจฉริยะ (Smart Fighter), เครือข่ายข้อมูล, สงครามอิเล็กทรอนิกส์ | การล่องหน (Stealth), การหลอมรวมเซ็นเซอร์ (Sensor Fusion) |
บทบาทหลัก | ครองอากาศ, โจมตีหลายภารกิจ (Multi-role) | เจาะทะลวงการป้องกันภัยทางอากาศ, เป็น “กองบัญชาการลอยฟ้า” |
ค่าใช้จ่าย | ราคาจัดหาและค่าปฏิบัติการต่ำกว่า | ราคาจัดหาและค่าปฏิบัติการสูงมาก |
การเมือง | ความเสี่ยงต่ำ, ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสวีเดน | ความเสี่ยงสูง, ขึ้นอยู่กับการอนุมัติของรัฐสภาสหรัฐฯ |
เทคโนโลยี | เสนอการถ่ายทอดเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ | มีข้อจำกัดในการถ่ายทอดเทคโนโลยีชั้นสูง |
ส่งออกไปยังชีต
F-35A คือ “ที่สุด” ของเทคโนโลยี แต่มาพร้อมกับราคาและเงื่อนไขทางการเมืองที่ซับซ้อน ในขณะที่ Gripen E คือ “ตัวเลือกที่ฉลาด” ที่ให้สมรรถนะสูงในระดับ Top Tier ของเครื่องบินยุค 4.5++ พร้อมข้อเสนอที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและให้ความยั่งยืนในระยะยาว
อนาคตที่ไม่หยุดนิ่ง บทบาทของ Gripen ในกองทัพอากาศไทยยุคใหม่
หากกองทัพอากาศไทยตัดสินใจเลือก Gripen E เป็นเครื่องบินรบหลักฝูงต่อไปจริง มันจะไม่ได้เป็นเพียงการทดแทน F-16 แต่จะเป็นการยกระดับปรัชญา “System of Systems” ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เราอาจได้เห็นภาพของฝูงบิน Gripen ที่กองบิน 1 โคราช ทำงานร่วมกับฝูงบินที่กองบิน 7 สุราษฎร์ธานี ผ่านเครือข่ายข้อมูลเดียวกับเครื่องบิน AEW&C และเรือรบของกองทัพเรือ สร้างโครงข่ายการป้องกันประเทศที่สมบูรณ์แบบและทันสมัยอย่างแท้จริง
การตัดสินใจครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด มันคือการกำหนดทิศทางของกองทัพอากาศไปอีกหลายสิบปี และ Gripen ไทย ก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า ไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่เป็น “คำตอบ” ที่มีศักยภาพและเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยในปัจจุบันมากที่สุดก็เป็นได้
แหล่งที่มาจาก : am2con