ณ สุดเขตแดนสยาม บนสันปันน้ำแห่งเทือกเขาพนมดงรัก ปราสาทหินทรายโบราณนาม “ปราสาทตาควาย” ซึ่งเคยเป็นประจักษ์พยานแห่งประวัติศาสตร์อันซับซ้อนและพื้นที่เผชิญหน้าบน ชายแดนไทย-กัมพูชา มายาวนาน กำลังจะถูกปลุกให้ตื่นจากความเงียบงันอีกครั้ง ไม่ใช่ด้วยเสียงก้องของความขัดแย้ง แต่ด้วยเสียงแห่งความหวังและการท่องเที่ยว เมื่อจังหวัดสุรินทร์ กองทัพ และกรมศิลปากร ได้ประกาศแผนความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อพลิกโฉมพื้นที่อ่อนไหวแห่งนี้ให้กลายเป็น แหล่งท่องเที่ยวใหม่สุรินทร์ นี่คือเรื่องราวการเดินทางครั้งสำคัญของปราสาทตาควาย จาก “สมรภูมิ” สู่ “มรดกวัฒนธรรม” ที่ทุกคนจะได้สัมผัส
รู้จัก “ปราสาทตาควาย” อัญมณีขอมโบราณบนเส้นแบ่งแผ่นดิน
ก่อนจะไปถึงแผนการพัฒนา เราต้องย้อนกลับไปทำความรู้จัก ประวัติปราสาทตาควาย ให้ลึกซึ้งเสียก่อน ปราสาทแห่งนี้คือเทวสถานของศาสนาฮินดู สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 ในยุคสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 แห่งอาณาจักรขอมโบราณ
- สถาปัตยกรรม เป็นปราสาทหลังเดี่ยว ก่อด้วยหินทราย ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลง หันหน้าไปทางทิศตะวันออก แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่โตเท่าปราสาทอื่นๆ แต่มีความโดดเด่นที่สภาพยังคงค่อนข้างสมบูรณ์ และมีทับหลังที่ยังไม่ได้สลักลวดลาย ซึ่งเป็นปริศนาทางโบราณคดีที่น่าสนใจ
- ที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ จุดเด่นที่สุดของปราสาทตาควายคือที่ตั้ง ซึ่งอยู่บนสันเขาพนมดงรักพอดิบพอดี อันเป็นเส้นเขตแดนตามธรรมชาติระหว่างไทยและกัมพูชา ทำให้ในอดีตพื้นที่บริเวณนี้ถูกจัดเป็นเขตความมั่นคงระดับสูงและเคยเกิดเหตุการณ์ปะทะกันขึ้น
ด้วยเหตุนี้ ปราสาทตาควายจึงกลายเป็นสถานที่ที่คนทั่วไปแทบไม่มีโอกาสได้เข้าชม ความงดงามของมันถูกเก็บซ่อนไว้ภายใต้เงาของประวัติศาสตร์ความมั่นคงมานานหลายทศวรรษ
เปิดแผนแม่บท “เส้นทางท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และความมั่นคง”
ข่าวดีล่าสุดที่ทำให้ชื่อของปราสาทตาควายกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง คือการประกาศแผนแม่บทความร่วมมือ 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายปกครอง (จังหวัดสุรินทร์), ฝ่ายความมั่นคง (กองทัพภาคที่ 2), และฝ่ายวิชาการ (กรมศิลปากร) โดยมีสาระสำคัญดังนี้
เป้าหมายหลัก
- พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว สร้าง แหล่งท่องเที่ยวใหม่สุรินทร์ ที่มีคุณภาพ เชื่อมโยงกับปราสาทอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน เช่น ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาเมือนโต๊ด
- สร้างรายได้ให้ชุมชน กระจายรายได้สู่ท้องถิ่นในอำเภอพนมดงรัก ซึ่งเป็นพื้นที่ชายขอบทางเศรษฐกิจ
- ส่งเสริมสันติภาพ ใช้ การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ เป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้าใจและสานสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน
แผนการดำเนินงาน
- ระยะที่ 1 (ปี 2568-2569)
- พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จัดสรรงบประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงและลาดยางถนนทางเข้าให้รถยนต์ทุกประเภทสามารถสัญจรได้สะดวก
- สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก ก่อสร้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยว, ห้องน้ำสะอาด, ลานจอดรถ, และจุดให้ข้อมูลเบื้องต้น
- ระยะที่ 2 (ปี 2569-2570)
- ส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยว จัดอบรมมัคคุเทศก์ท้องถิ่น, พัฒนาสินค้า OTOP, และจัดกิจกรรมพิเศษตามปฏิทินท่องเที่ยว
- บูรณะและอนุรักษ์ กรมศิลปากรจะเข้ามาดำเนินการเสริมความมั่นคงของตัวปราสาทและจัดทำป้ายให้ข้อมูลที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ
“ความมั่นคงนำการท่องเที่ยว” สมดุลที่ท้าทายบนชายแดน
หัวใจสำคัญที่ทำให้แผนนี้แตกต่างจากการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทั่วไป คือการดำเนินงานภายใต้แนวคิด “ความมั่นคงนำการท่องเที่ยว” ซึ่งผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 2 ได้ให้ความเชื่อมั่นว่า “เราจะเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้าและการท่องเที่ยว แต่ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและอธิปไตยของชาติต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง”
มาตรการด้านความมั่นคงที่จะดำเนินการควบคู่กัน
- มีเจ้าหน้าที่ทหารพรานคอยดูแลรักษาความปลอดภัยตลอดเส้นทางและบริเวณตัวปราสาท
- มีการประสานงานกับฝ่ายความมั่นคงของกัมพูชาอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดและสร้างบรรยากาศแห่งมิตรภาพ
- มีการกำหนดพื้นที่และเวลาเข้าชมที่ชัดเจน เพื่อให้นักท่องเที่ยวอยู่ในโซนที่ปลอดภัย
นี่คือความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างการเปิดกว้างเพื่อการท่องเที่ยว กับการควบคุมเพื่อความปลอดภัย ซึ่งจะเป็นต้นแบบให้กับการพัฒนาพื้นที่ชายแดนอื่นๆ ต่อไป
จาก “พื้นที่สีแดง” สู่ “โอกาสสีทอง” ของชุมชนท้องถิ่น
สำหรับชาวบ้านในอำเภอพนมดงรัก แผนพัฒนานี้เปรียบเสมือนแสงสว่างปลายอุโมงค์ ตัวแทนชาวบ้านได้กล่าวด้วยความดีใจว่า “พวกเราอยู่ที่นี่กับความเงียบมานาน การเดินทางก็ลำบาก พอได้ยินว่าจะมีการทำถนนและเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็รู้สึกมีความหวังว่าเศรษฐกิจในหมู่บ้านจะดีขึ้น”
โอกาสทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
- อาชีพใหม่ การเป็นมัคคุเทศก์ท้องถิ่น, พนักงานในศูนย์บริการ, เจ้าของร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึก
- การขายสินค้าเกษตร นักท่องเที่ยวสามารถซื้อผลผลิตทางการเกษตรของชาวบ้านได้โดยตรง
- โฮมสเตย์ ในระยะยาวอาจมีการพัฒนาที่พักแบบโฮมสเตย์เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตคนชายแดน
การพัฒนา ปราสาทตาควาย จึงไม่ใช่แค่การอนุรักษ์โบราณสถาน แต่คือการสร้างชีวิตใหม่ให้แก่ชุมชนที่เคยถูกลืม
ตอบทุกคำถาม ข้อควรรู้ก่อนไปเยือนปราสาทตาควาย
สำหรับนักท่องเที่ยวที่สงสัยว่า ปราสาทตาควาย เปิดให้เที่ยวไหม 2568 คำตอบคือ “ใช่” แต่เป็นการทยอยเปิดและต้องติดตามประกาศอย่างเป็นทางการ และนี่คือข้อมูลสำคัญที่ควรรู้
- การเดินทางไปปราสาทตาควาย ปัจจุบัน (ก่อนการปรับปรุง) การเดินทางยังค่อนข้างลำบาก ควรใช้รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ และต้องติดต่อประสานงานกับหน่วยทหารในพื้นที่ล่วงหน้า หลังจากการพัฒนาถนนแล้วเสร็จ การเดินทางจะสะดวกขึ้นมาก
- ที่ตั้ง ปราสาทตาควาย อยู่จังหวัดอะไร? คำตอบคือ อยู่ในเขตตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์
- การเตรียมตัว
- แต่งกายสุภาพรัดกุม เหมาะแก่การเดินป่าและปีนป่ายเล็กน้อย
- เตรียมน้ำดื่มและของใช้ส่วนตัวให้พร้อม เนื่องจากสิ่งอำนวยความสะดวกยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เนื่องจากเป็นพื้นที่ความมั่นคง
- แสดงความเคารพต่อสถานที่ซึ่งเป็นทั้งโบราณสถานและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
(Conclusion) บทสรุป
การเดินทางครั้งใหม่ของ ปราสาทตาควาย จากโบราณสถานในพื้นที่อ่อนไหวสู่การเป็นหมุดหมายสำคัญในแผนที่ การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ของประเทศไทย คือบทพิสูจน์ของการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ, กองทัพ, และประชาชน นี่คือการเปลี่ยนผ่านที่เต็มไปด้วยความหวังและความท้าทาย
ความสำเร็จของโครงการนี้ไม่ได้วัดกันที่จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่วัดกันที่ความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนากับการอนุรักษ์, ระหว่างเศรษฐกิจกับความมั่นคง, และที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนประวัติศาสตร์แห่งการเผชิญหน้าให้กลายเป็นรากฐานแห่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองที่ยั่งยืนบน ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้คนรุ่นหลังได้ภาคภูมิใจสืบไป
แหล่งที่มาจาก : am2con