มติช็อก! กกพ. เคาะ “ขึ้นค่าไฟ” บิลพุ่งเฉียด 5 บาท/หน่วย “พายุหมุน” ซัดค่าครองชีพคนไทย

ขึ้นค่าไฟ

นี่คือ ข่าวเด่นประเด็นร้อนล่าสุด ที่สั่นสะเทือนทุกครัวเรือนและทุกธุรกิจในประเทศไทย เมื่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ลงมติ “ช็อกความรู้สึก” อนุมัติการ ขึ้นค่าไฟ ครั้งสำคัญสำหรับงวดปลายปี 2568 ซึ่งจะผลักดันให้ค่าไฟฟ้าต่อหน่วยพุ่งทะยานเข้าใกล้ 5 บาท มตินี้เปรียบเสมือนการจุดชนวนระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจที่ซ้ำเติมภาวะ ค่าครองชีพ ที่สูงอยู่แล้ว และโยนคำถามใหญ่ใส่คนไทยทั้งประเทศว่า ท่ามกลางพายุหมุนที่ถาโถมเข้าใส่กระเป๋าเงินเช่นนี้…เราจะรอดกันอย่างไร?

กกพ. ขึ้นค่าไฟงวด ม.ค.-เม.ย. 67 อีก 69 สตางค์ เป็น 4.68 บาทต่อหน่วย

เปิดตัวเลขบนบิลใหม่ ค่าไฟแพงขึ้นแค่ไหน และต้องจ่ายเมื่อไหร่?

หัวใจของมติ กกพ. ครั้งนี้ คือการปรับขึ้น “ค่าไฟฟ้าผันแปร” หรือที่รู้จักกันในชื่อ ค่า Ft ล่าสุด โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้

  • รอบบิล เดือนกันยายน – ธันวาคม 2568
  • ค่า Ft ใหม่ 89.55 สตางค์ต่อหน่วย (เพิ่มขึ้นจากงวดก่อนหน้าที่ 64.07 สตางค์ต่อหน่วย)
  • ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานแล้ว จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่เรียกเก็บจากประชาชน (ไม่รวม VAT) อยู่ที่ประมาณ 4.68 บาทต่อหน่วย

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน

หากครัวเรือนหนึ่งเคยใช้ไฟฟ้า 300 หน่วยต่อเดือน และเคยจ่ายค่าไฟประมาณ 1,250 บาท บิลค่าไฟใหม่อาจพุ่งสูงขึ้นเป็นเกือบ 1,450 บาท หรือเพิ่มขึ้นราว 200 บาทในทันที และสำหรับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะโรงงาน หรือร้านค้าที่ต้องเปิดแอร์ตลอดวัน ตัวเลขค่าใช้จ่ายจะพุ่งสูงขึ้นอีกหลายเท่าตัว

เบื้องหลังมติจำยอม ทำไมต้องขึ้นค่าไฟ? เจาะลึก 2 ปัจจัยหลัก

การตัดสินใจของ กกพ. ครั้งนี้ไม่ใช่การขึ้นราคาตามอำเภอใจ แต่มาจากภาวะจำยอมที่บีบคั้นจาก 2 ปัจจัยหลักที่ประชาชนต้องทำความเข้าใจ

  1. ภาระหนี้สินของ กฟผ. ที่รอวันระเบิด การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นเสาหลักด้านพลังงานของชาติ ได้ทำหน้าที่เป็น “กันชน” ดูดซับต้นทุนเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้นในอดีต เพื่อตรึงราคาค่าไฟไม่ให้กระทบประชาชนรุนแรงเกินไป การกระทำดังกล่าวส่งผลให้ กฟผ. ต้องแบกรับภาระหนี้สินสะสมไว้มหาศาลกว่า 152,000 ล้านบาท หากปล่อยให้หนี้ก้อนนี้พอกพูนต่อไป อาจกระทบต่อสภาพคล่องของ กฟผ. และความมั่นคงทางพลังงานของทั้งประเทศ การขึ้นค่าไฟครั้งนี้จึงมีเป้าหมายส่วนหนึ่งเพื่อนำเงินไปทยอยชำระหนี้ก้อนนี้
  2. ความผันผวนของราคาพลังงานในตลาดโลก โครงสร้างการผลิตไฟฟ้าของไทยพึ่งพิง “ก๊าซธรรมชาติ” เป็นเชื้อเพลิงหลักถึงกว่า 60% และส่วนใหญ่ต้องนำเข้าในรูปแบบก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เมื่อสถานการณ์โลก เช่น ความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ดันให้ ราคาพลังงาน ในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น ประเทศไทยในฐานะผู้นำเข้าจึงได้รับผลกระทบโดยตรงและหลีกเลี่ยงไม่ได้

คำถามที่ว่า “ค่า Ft คืออะไร ทําไมต้องขึ้น” คำตอบที่เจ็บปวดแต่เป็นจริงก็คือ มันคือต้นทุนเชื้อเพลิงที่เราไม่ได้ควบคุม และภาระหนี้ในอดีตที่ถึงเวลาต้องชดใช้นั่นเอง

พีระพันธุ์ รองนายกฯ รับไม่ได้ กกพ. ขึ้นค่าไฟ 4.68 บาท/หน่วย - Money & Banking Magazine

เสียงสะท้อนจากผู้เดือดร้อน “หายใจก็เป็นต้นทุนแล้ว”

ทันทีที่มติ กกพ. ถูกประกาศออกมา เสียงสะท้อนจากประชาชนและผู้ประกอบการก็ดังกระหึ่มในโลกโซเชียลและสื่อต่างๆ

  • ภาคครัวเรือน “เงินเดือนเท่าเดิม แต่ทุกอย่างแพงขึ้นหมด นี่ค่าไฟจะขึ้นอีก จะให้ประหยัดยังไงไหว แค่เปิดพัดลมให้ลูกนอนก็คิดแล้วคิดอีก” ความรู้สึกนี้สะท้อนสภาพความเป็นอยู่ของคนหาเช้ากินค่ำที่ต้องเผชิญกับภาวะ ค่าไฟแพง
  • ภาคธุรกิจ SMEs นายสมชาย (นามสมมติ) เจ้าของโรงน้ำแข็งขนาดเล็กในต่างจังหวัด ให้สัมภาษณ์ว่า “เครื่องทำน้ำแข็งคือหัวใจของเรา มันต้องเดินเครื่องเกือบ 24 ชั่วโมง ค่าไฟคือต้นทุนอันดับหนึ่งของเรา การขึ้นราคาครั้งนี้เท่ากับลดกำไรเราไปเกือบหมด จะให้ขึ้นราคาน้ำแข็งก็กระทบร้านค้าเล็กๆ ไปอีกทอด มันเป็นลูกโซ่ไปหมด” นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของ ผลกระทบค่าไฟขึ้นต่อธุรกิจ SMEs

รัฐบาลอยู่ไหน? มองหามาตรการช่วยเหลือท่ามกลางมรสุม

คำถามที่ดังที่สุดในขณะนี้คือ “รัฐบาลช่วยค่าไฟไหม” ภาคประชาชนและเอกชนต่างเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยมีข้อเสนอที่หลากหลาย เช่น

  • การอุดหนุนแบบตรงจุด ให้ความช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300-500 หน่วยต่อเดือน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและเปราะบาง
  • การเจรจากับ กฟผ. ขอให้ กฟผ. ยืดการชำระหนี้ออกไปก่อน หรือให้รัฐบาลเป็นผู้รับภาระหนี้บางส่วน
  • การควบคุมราคาพลังงาน หาแนวทางจัดหาพลังงานจากแหล่งอื่นที่ราคาถูกกว่า หรือเจรจาต่อรองราคาก๊าซในระยะยาว

ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนจากฝั่งรัฐบาล แต่แรงกดดันจากสังคมกำลังเพิ่มสูงขึ้นทุกขณะ และการตัดสินใจของรัฐบาลในเรื่องนี้จะเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการบริหารจัดการวิกฤตครั้งสำคัญ

ทางออกจากวิกฤต ถึงเวลาปฏิรูปโครงสร้างพลังงานไทยแล้วหรือยัง?

นักวิเคราะห์ด้านพลังงานหลายสำนักมองว่า วิกฤตค่าไฟแพงครั้งนี้เป็น “อาการ” ของ “โรค” ที่เรื้อรังมานาน นั่นคือโครงสร้างพลังงานของไทยที่ขาดเสถียรภาพและพึ่งพาเชื้อเพลิงนำเข้ามากเกินไป ทางออกที่ยั่งยืนในระยะยาวจึงไม่ใช่การอุดหนุนราคาไปเรื่อยๆ แต่คือการปฏิรูปโครงสร้างทั้งระบบ

แนวทางที่เป็นไปได้

  1. ส่งเสริมพลังงานสะอาดอย่างจริงจัง เร่งรัดการลงทุนใน พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Rooftop), พลังงานลม ซึ่งมีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลงอย่างต่อเนื่องและไม่ต้องนำเข้า
  2. เปิดเสรีกิจการไฟฟ้า ส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในตลาดการผลิตไฟฟ้า เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกและเกิดการกดดันด้านราคา
  3. รณรงค์การประหยัดพลังงานระดับชาติ สร้างวัฒนธรรมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็น วิธีประหยัดค่าไฟ 2568 ที่ดีที่สุดและยั่งยืนที่สุด

วิกฤตครั้งนี้อาจเป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ยุคพลังงานที่มั่นคงและเป็นธรรมมากขึ้น

เผยเบื้องหลัง 'ลดค่าไฟ' เหลือ 3.98 บาท 'พีระพันธุ์' ตรวจพบ กกพ. กอดเงิน 2 หมื่นล้าน

(Conclusion) บทสรุป

มติ ขึ้นค่าไฟ ครั้งล่าสุดนี้ เป็นมากกว่าแค่ตัวเลขบนบิลที่เพิ่มขึ้น มันคือภาพสะท้อนของความเปราะบางทางโครงสร้างพลังงานของประเทศ และเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของรัฐบาลในการบริหารจัดการวิกฤต ค่าครองชีพ ที่ส่งผลกระทบต่อคนไทยทุกคน นี่คือ ข่าวเด่นประเด็นร้อนล่าสุด ที่จะยังคงคุกรุ่นไปอีกหลายเดือน

ในระยะสั้น การออกมาตรการช่วยเหลือที่ตรงจุดและทันท่วงทีคือสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนที่สุดเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน แต่ในระยะยาว ประเทศไทยไม่อาจหลีกหนีความจริงที่ว่า เราจำเป็นต้องปฏิรูปภาคพลังงานอย่างจริงจัง ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลจากต่างประเทศ และหันมาลงทุนใน พลังงานสะอาด ที่ยั่งยืนอย่างเต็มที่ เพราะนี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากวงจร “วิกฤตค่าไฟแพง” ที่วนกลับมาซ้ำเติมคนไทยได้อย่างแท้จริง

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *