ท่ามกลางความสงบนิ่งของสวนสันติภาพอนุสรณ์ฮิโรชิมา ในวาระครบรอบ 80 ปีแห่งโศกนาฏกรรมที่โลกไม่เคยลืม เสียงของนายกรัฐมนตรี ฟูมิโอะ คิชิดะ ได้ตอกย้ำ “หลักการไร้นิวเคลียร์ของญี่ปุ่น” อีกครั้ง ดั่งคำมั่นสัญญาที่ส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น แต่ทว่าในปี 2025 นี้ คำประกาศดังกล่าวกลับดังก้องด้วยนัยยะที่ซับซ้อนและหนักแน่นกว่าทุกครั้ง เพราะมันคือคำยืนยันในอุดมการณ์สันติภาพ ท่ามกลางพายุแห่งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่รอบหมู่เกาะญี่ปุ่นอย่างรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ บทความนี้จะเจาะลึกถึงคำมั่นสัญญาที่กำลังถูกทดสอบ และวิเคราะห์ว่าเหตุใดการยืนหยัดในหลักการครั้งนี้จึงมีความหมายอย่างยิ่งต่อสันติภาพของเอเชียและของโลก
เสียงจากฮิโรชิมา คำมั่นสัญญาในวาระ 80 ปี
ในเช้าวันที่ 6 สิงหาคม 2025 นายกรัฐมนตรี ฟูมิโอะ คิชิดะ ซึ่งมีพื้นเพครอบครัวมาจากฮิโรชิมาโดยตรง ได้เป็นประธานในพิธีรำลึก ณ สวนสันติภาพอนุสรณ์ฮิโรชิมา โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งชาวญี่ปุ่น ตัวแทนจากนานาชาติ และที่สำคัญคือเหล่า ฮิบาคุชะ (Hibakusha) หรือผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิดปรมาณู ซึ่งปัจจุบันเหลืออยู่ไม่มากนักและมีอายุเฉลี่ยมากกว่า 85 ปี
ในคำปราศรัยที่ทรงพลัง นายกฯ คิชิดะกล่าวว่า “ในฐานะประเทศเดียวที่เคยเผชิญกับความน่าสะพรึงกลัวของ อาวุธนิวเคลียร์ ในภาวะสงคราม ญี่ปุ่นมีภารกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลงในการชี้นำประชาคมโลกไปสู่โลกที่ปราศจากอาวุธนิวเคลียร์… เราจะยึดมั่นในหลักการ 3 ข้อไร้นิวเคลียร์อย่างแน่วแน่ และทำงานอย่างไม่ลดละเพื่อสร้าง สันติภาพโลก”
พิธีการในปีนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่กว่าทุกปีที่ผ่านมา เพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตกว่า 140,000 คนจากเหตุการณ์ที่ฮิโรชิมา และอีกกว่า 74,000 คนที่ นางาซากิ ในอีกสามวันต่อมา แต่สาระสำคัญไม่ได้หยุดอยู่แค่การไว้อาลัย แต่คือการส่งสารไปยังโลกภายนอกว่าญี่ปุ่นยังคงเป็นผู้นำในการต่อต้านการใช้อาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูงสุดชนิดนี้
**ย้อนรอย “หลักการ 3 ข้อไร้นิวเคลียร์” เสาหลักแห่งสันติภาพญี่ปุ่น
เพื่อเข้าใจจุดยืนของญี่ปุ่น เราจำเป็นต้องเข้าใจที่มาของนโยบายอันเป็นเอกลักษณ์นี้ หลักการไร้นิวเคลียร์ของญี่ปุ่น หรือ “ฮิคาคุ ซัน เก็นโซคุ” (非核三原則) ถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการในปี 1967 โดยนายกรัฐมนตรีเอซากุ ซาโต ซึ่งต่อมาได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากความพยายามนี้ หลักการดังกล่าวประกอบด้วย
- ไม่ผลิต (Won’t Produce) ญี่ปุ่นจะไม่ทำการผลิตหรือพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
- ไม่ครอบครอง (Won’t Possess) ญี่ปุ่นจะไม่ครอบครองหรือมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในดินแดนของตน
- ไม่อนุญาตให้นำเข้า (Won’t Permit Entry) ญี่ปุ่นจะไม่อนุญาตให้นำอาวุธนิวเคลียร์เข้ามาในอาณาเขตของตน
ทำไมญี่ปุ่นไม่มีอาวุธนิวเคลียร์? หลักการนี้ถือกำเนิดขึ้นจากบาดแผลทางประวัติศาสตร์อันเจ็บปวด และถูกผนวกเข้ากับจิตวิญญาณของรัฐธรรมนูญฉบับหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (โดยเฉพาะมาตรา 9) ที่เน้นย้ำแนวทางสันตินิยมและปฏิเสธการใช้สงครามเป็นเครื่องมือในการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ
บททดสอบครั้งใหญ่ เมื่อ “หลักการ” ปะทะ “ความจริง” ทางภูมิรัฐศาสตร์
แม้ หลักการไร้นิวเคลียร์ของญี่ปุ่น จะเป็นเสาหลักของชาติมานานกว่าครึ่งศตวรรษ แต่ปัจจุบันเสาหลักนี้กำลังสั่นคลอนอย่างรุนแรงจากปัจจัยท้าทายรอบด้าน
ภัยคุกคามจากเพื่อนบ้าน เกาหลีเหนือและมังกรจีน
- เกาหลีเหนือ ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธอย่างต่อเนื่อง มีการทดสอบยิงขีปนาวุธข้ามหมู่เกาะญี่ปุ่นหรือตกลงในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) ของญี่ปุ่นบ่อยครั้ง สร้างความรู้สึกไม่มั่นคงให้กับประชาชนโดยตรง
- จีน การขยายตัวอย่างรวดเร็วของกองทัพจีน ทั้งในด้านขนาดและเทคโนโลยี รวมถึงการครอบครองหัวรบนิวเคลียร์จำนวนมาก และการอ้างสิทธิ์ในพื้นที่พิพาทอย่าง ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ และช่องแคบไต้หวัน ทำให้ญี่ปุ่นรู้สึกว่าถูกคุกคามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
- รัสเซีย การรุกรานยูเครนและคำขู่ที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย ได้ทำลายความเชื่อที่ว่ายุคสมัยแห่งการเผชิญหน้าด้วยนิวเคลียร์ได้สิ้นสุดลงแล้ว
ภัยคุกคามเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามว่า “ร่มเงานิวเคลียร์” (Nuclear Umbrella) ที่สหรัฐอเมริกาเคยกางไว้ให้ญี่ปุ่นยังคงแข็งแกร่งและน่าเชื่อถือเพียงพอหรือไม่
เสียงที่แตกในประเทศ ควรถึงเวลาทบทวนนโยบายหรือไม่?
จากแรงกดดันภายนอก ทำให้เกิดการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนขึ้นภายในญี่ปุ่น นักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมบางส่วน รวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ (ก่อนถึงแก่อสัญกรรม) เคยเสนอแนวคิด “การแบ่งปันนิวเคลียร์” (Nuclear Sharing) ที่คล้ายกับโมเดลของ NATO ซึ่งจะอนุญาตให้สหรัฐฯ นำอาวุธนิวเคลียร์มาประจำการในญี่ปุ่นได้ แนวคิดนี้แม้จะยังไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงรอยร้าวในฉันทามติเดิมของชาติ
ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดจากสำนักข่าว NHK พบว่า แม้ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนหลักการไร้นิวเคลียร์ แต่สัดส่วนของผู้ที่เห็นว่าญี่ปุ่นควรเริ่ม “พิจารณา” ทางเลือกด้านนิวเคลียร์เพื่อการป้องกันตนเองก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
โลกที่ยังคงอยู่กับนิวเคลียร์ มุมมองของไทยและอาเซียน
สถานการณ์ของญี่ปุ่นเป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิดจากนานาประเทศ รวมถึงไทยและกลุ่มอาเซียน ซึ่งยึดมั่นใน สนธิสัญญาก่อตั้งเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEANWFZ Treaty) การที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ยังคงยืนหยัดในหลักการสันตินิยม ถือเป็นแรงบันดาลใจและเป็นเครื่องยืนยันว่าการสร้าง ความมั่นคงในเอเชียตะวันออก ไม่จำเป็นต้องพึ่งพา อาวุธนิวเคลียร์ เสมอไป
อย่างไรก็ตาม หากญี่ปุ่นถูกกดดันจนต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายในอนาคต ก็อาจจุดชนวนให้เกิดการแข่งขันสะสมอาวุธในภูมิภาค (Arms Race) ที่รุนแรงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความมั่งคั่งของอาเซียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บทสรุป ทางแพร่งของสันติภาพในศตวรรษที่ 21
คำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีคิชิดะในวาระ ครบรอบ 80 ปี ฮิโรชิมา จึงไม่ใช่เพียงพิธีกรรมรำลึกถึงอดีต แต่เป็นการประกาศจุดยืนที่เปราะบางท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนไป ญี่ปุ่นกำลังอยู่บนทางแพร่งที่ยากลำบาก ระหว่างการธำรงไว้ซึ่งจิตวิญญาณแห่งสันติภาพที่เกิดจากบาดแผลในอดีต กับความจำเป็นเร่งด่วนในการรับมือกับภัยคุกคามที่เป็นจริงในปัจจุบัน
การตัดสินใจของญี่ปุ่นในทศวรรษข้างหน้าจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญ ไม่ใช่แค่สำหรับอนาคตของตนเอง แต่ยังรวมถึงทิศทางของความมั่นคงและสันติภาพในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และนี่คือเหตุผลที่ทั่วโลกต้องเงี่ยหูฟัง “เสียงจากฮิโรชิมา” ในวันนี้อย่างตั้งใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
แหล่งที่มาจาก : am2con