ข่าวใหญ่จากอีกฟากโลกที่นายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด แห่งแคนาดา ประกาศอัดฉีดงบประมาณมหาศาลกว่า 867 ล้านดอลลาร์แคนาดา (ราว 2.3 หมื่นล้านบาท) เพื่ออุ้มอุตสาหกรรมไม้เนื้ออ่อนของประเทศ อาจฟังดูห่างไกล แต่ในความเป็นจริง แรงกระเพื่อมจากข้อพิพาททางการค้าที่ยืดเยื้อมานานหลายสิบปีนี้ กำลังจะส่งผลกระทบโดยตรงมาถึงหลังคาบ้านและโต๊ะทำงานในประเทศไทย บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจมหากาพย์ “สงครามไม้เนื้ออ่อน” ที่ไม่มีวันจบสิ้น เจาะลึกถึงมาตรการตอบโต้ล่าสุดของแคนาดา และที่สำคัญที่สุด คือการวิเคราะห์ว่าสงครามของสองยักษ์ใหญ่แห่งอเมริกาเหนือนี้ จะส่งผลต่อราคาวัสดุก่อสร้างและอนาคตของอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ส่งออกของไทยอย่างไร
ปฐมบท “สงครามไม้เนื้ออ่อน” ข้อพิพาทข้ามศตวรรษที่ยังไม่จบ
ก่อนจะไปถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน เราต้องเข้าใจรากเหง้าของปัญหานี้เสียก่อน สงครามไม้เนื้ออ่อน (Softwood Lumber Dispute) คือข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและแคนาดาที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนานนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยมีประเด็นหลักอยู่ที่การกล่าวหาของฝั่งสหรัฐฯ ว่ารัฐบาลแคนาดาให้การอุดหนุน (Subsidize) อุตสาหกรรมไม้แปรรูป ของตนเองอย่างไม่เป็นธรรม
ข้อกล่าวหาหลักของสหรัฐฯ
- ที่ดินของรัฐ ป่าไม้ส่วนใหญ่ในแคนาดาเป็นที่ดินของรัฐบาลมณฑล ซึ่งคิดค่าธรรมเนียมการตัดไม้ (Stumpage fees) ในอัตราที่ต่ำกว่าราคาตลาด
- การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม สหรัฐฯ มองว่านี่คือการอุดหนุนที่ทำให้ผู้ผลิตไม้ของแคนาดามีต้นทุนที่ต่ำกว่าผู้ผลิตในสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องตัดไม้จากที่ดินเอกชน และสามารถส่งออกไม้เข้ามาตีตลาดสหรัฐฯ ในราคาที่ถูกกว่า
ข้อพิพาทนี้ได้ปะทุขึ้นเป็นระยะๆ ผ่านการฟ้องร้อง การเจรจา และการทำข้อตกลงที่ล้มเหลวมาแล้วหลายครั้ง (ถูกเรียกว่า Lumber I, II, III, IV) และถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นใหญ่ทางการเมืองเสมอ โดยเฉพาะในยุคของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้สั่งขึ้น ภาษีนำเข้าไม้แคนาดา อย่างหนักเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งนโยบายดังกล่าวก็ยังคงถูกใช้เป็นฐานในการกำหนดภาษีมาจนถึงปัจจุบัน
แคนาดางัดไม้แข็ง ทุ่มงบพันล้านสู้กำแพงภาษีสหรัฐฯ
เพื่อรับมือกับกำแพงภาษีที่สูงลิ่วและรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไม้ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด จึงได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือครั้งสำคัญ ประกอบด้วย
- เงินกู้และเงินค้ำประกัน จัดสรรเงินทุนดอกเบี้ยต่ำและค้ำประกันสินเชื่อให้กับบริษัทในอุตสาหกรรมไม้ เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต
- สนับสนุนนวัตกรรม ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ไม้ที่มีมูลค่าสูงขึ้น และลดการพึ่งพาตลาดไม้แปรรูปแบบดั้งเดิม
- ขยายตลาดส่งออก ช่วยเหลือผู้ประกอบการในการหาตลาดใหม่ๆ นอกเหนือจากตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและยุโรป
- ช่วยเหลือแรงงาน จัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการลดกำลังการผลิตหรือปิดโรงงาน
มาตรการทั้งหมดนี้มีเป้าหมายชัดเจน คือเพื่อประคับประคองผู้ผลิตไม้ของแคนาดาให้สามารถยืนหยัดอยู่ได้ ท่ามกลางแรงกดดันจาก การค้าสหรัฐฯ-แคนาดา และยังเป็นการส่งสัญญาณที่แข็งกร้าวว่าแคนาดาพร้อมที่จะต่อสู้ในข้อพิพาทนี้ผ่านเวที องค์การการค้าโลก (WTO) ต่อไป
ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก เมื่อยักษ์ชนกัน สะเทือนถึงใคร?
การต่อสู้ระหว่างผู้ผลิตไม้รายใหญ่ที่สุด (แคนาดา) และผู้บริโภคไม้รายใหญ่ที่สุด (สหรัฐฯ) ของโลก ย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตลาดไม้โลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยสามารถวิเคราะห์ผลกระทบได้เป็นสองทิศทางหลัก
- การเบี่ยงเบนทิศทางการค้า (Trade Diversion) เมื่อไม้จากแคนาดาเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ได้ยากขึ้นและมีราคาสูงขึ้นจากกำแพงภาษี ผู้ผลิตแคนาดาจำเป็นต้องระบายสินค้าไปยังตลาดอื่นทั่วโลกอย่างจริงจังมากขึ้น
- ความผันผวนของราคา ตลาดสหรัฐฯ ที่ขาดแคลนซัพพลายจากแคนาดาอาจต้องเผชิญกับราคาไม้ที่สูงขึ้น ในขณะที่ตลาดอื่น ๆ ที่แคนาดาหันไประบายสินค้า อาจมีซัพพลายล้นตลาดและส่งผลให้ราคาลดต่ำลง
โอกาสหรือความเสี่ยงสำหรับผู้นำเข้าในเอเชีย?
สำหรับประเทศในเอเชียรวมถึงไทย สถานการณ์นี้เปรียบเสมือนดาบสองคม
- โอกาส อาจเป็นโอกาสในการเข้าถึงไม้เนื้ออ่อนคุณภาพดีจากแคนาดาในราคาที่ถูกลง เนื่องจากผู้ส่งออกแคนาดาต้องการหาลูกค้ารายใหม่เพื่อชดเชยตลาดสหรัฐฯ ที่เสียไป
- ความเสี่ยง ความไม่แน่นอนของข้อพิพาทอาจทำให้ราคาไม้ในตลาดโลกผันผวนอย่างหนัก การวางแผนต้นทุนการผลิตทำได้ยากขึ้น และอาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากผลิตภัณฑ์ไม้ของแคนาดาในตลาดที่สาม
แปลความหมายถึงไทย “ราคาวัสดุก่อสร้าง” และ “อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์” จะไปทางไหน?
สำหรับประเทศไทยซึ่งต้องพึ่งพาการนำเข้าไม้จากต่างประเทศ และมีอุตสาหกรรมส่งออกเฟอร์นิเจอร์เป็นหนึ่งในรายได้สำคัญ ผลกระทบสงครามไม้ต่อไทย สามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้
1. ภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง ต้นทุนไม้จะเปลี่ยนไป?
คำถามที่หลายคนอยากรู้คือ ราคาไม้แปรรูปจะสูงขึ้นไหม? คำตอบนั้นซับซ้อน
- แนวโน้มราคาลดลง (ระยะสั้น) มีความเป็นไปได้ที่ผู้รับเหมาและผู้พัฒนาโครงการในไทย อาจสามารถจัดซื้อไม้สน (Pine) หรือไม้สปรูซ (Spruce) จากแคนาดาได้ในราคาที่น่าสนใจกว่าเดิม ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนในส่วนของโครงสร้างไม้, วงกบ, ประตู, และงานตกแต่งภายในได้
- ความผันผวนและความไม่แน่นอน (ระยะกลาง-ยาว) หากข้อพิพาทคลี่คลายและภาษีถูกยกเลิก ไม้จากแคนาดาก็จะไหลกลับเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ดังเดิม ทำให้ซัพพลายในตลาดเอเชียลดลงและราคากลับมาสูงขึ้นได้อีกครั้ง ดังนั้น ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมก่อสร้างจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อบริหารจัดการต้นทุน
2. ผู้ส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไทย วิกฤตคู่แข่งหรือโอกาสด้านวัตถุดิบ?
อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไม้ ของไทยเป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
- โอกาสด้านต้นทุนวัตถุดิบ ผู้ผลิต เฟอร์นิเจอร์ไม้ ของไทยอาจได้เปรียบในด้านต้นทุนวัตถุดิบ หากสามารถนำเข้าไม้เนื้ออ่อนจากแคนาดาได้ในราคาถูกลง เพื่อนำมาผลิตเป็นสินค้าส่งออกไปยังตลาดโลก
- ความท้าทายด้านการแข่งขัน ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ของแคนาดาเองก็จะได้รับประโยชน์จากต้นทุนไม้ในประเทศที่ถูกลง และอาจกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในตลาดส่งออกที่สาม เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, หรือแม้กระทั่งในตลาดสหรัฐฯ เอง
ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงต้องปรับกลยุทธ์ โดยอาจเน้นใช้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีดีไซน์และนวัตกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อสร้างความแตกต่างและหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาโดยตรง
บทสรุป จับตาสงครามการค้าข้ามทวีปที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด
สงครามไม้เนื้ออ่อน อาจมีสมรภูมิหลักอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ แต่ผลของมันได้ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย การทุ่มงบประมาณของรัฐบาลแคนาดาครั้งนี้เป็นเพียงยกแรกล่าสุดของมหากาพย์ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ
สำหรับผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ต้องติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อเปลี่ยนความท้าทายจากความผันผวนของตลาดโลกให้กลายเป็นโอกาสในการบริหารจัดการต้นทุนและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เพราะในโลกการค้ายุคใหม่ ไม่มีคำว่า “เรื่องไกลตัว” อีกต่อไป
แหล่งที่มาจาก : am2con