ท่ามกลางความพยายามประสานรอยร้าวและจับมือกันเพื่อสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก “แผลเก่า” ทางประวัติศาสตร์ระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็ปริแตกขึ้นมาอีกครั้ง การประท้วงทางการทูตครั้งล่าสุดจากโตเกียวต่อกรณีที่โซลส่งเรือสำรวจเข้าใกล้น่านน้ำพิพาทแห่งเกาะทาเกชิมะ/ดกโด ไม่ใช่แค่การกระทบกระทั่งตามปกติ แต่เป็นสัญญาณอันตรายที่ตอกย้ำว่า บาดแผลจากอดีตและกระแสชาตินิยมยังคงทรงพลังกว่ายุทธศาสตร์ความมั่นคง และพร้อมจะฉุดรั้งอนาคตของความสัมพันธ์ที่กำลังเปราะบางให้กลับสู่จุดเยือกแข็งได้ทุกเมื่อ
ควันจางๆ ของความขัดแย้งได้ก่อตัวขึ้นอีกครั้งเหนือผืนน้ำที่แบ่งแยกระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นยื่น การประท้วงทางการทูต อย่างแข็งกร้าวต่อเกาหลีใต้ ปมการส่งเรือสำรวจทางทะเลเข้าใกล้หมู่เกาะเล็กๆ ที่เป็นศูนย์กลางของ ข้อพิพาทเกาะทาเกชิมะ ดกโด มานานหลายทศวรรษ เหตุการณ์นี้เปรียบเสมือนการสาดน้ำเย็นราดลงบนกองไฟแห่งความร่วมมือที่เพิ่งจะเริ่มก่อตัวขึ้น สะท้อนให้เห็นความซับซ้อนของ ความสัมพันธ์ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ที่แม้จะถูกผลักดันให้ใกล้ชิดกันด้วยผลประโยชน์ด้านความมั่นคง แต่ก็พร้อมจะแตกหักได้เสมอจากมรดกทางประวัติศาสตร์ บทความนี้จะเจาะลึกถึงเบื้องหลังของรอยร้าวล่าสุด พร้อมวิเคราะห์ว่า เกาะทาเกชิมะ ดกโด เป็นของใคร ผ่านมุมมองของทั้งสองฝ่าย และ ผลกระทบข้อพิพาทเกาะดกโดล่าสุด จะส่งแรงสั่นสะเทือนต่อภูมิภาคนี้อย่างไร
จุดเดือดล่าสุด ญี่ปุ่นประท้วง-เกาหลีใต้สวนกลับ ปมเรือสำรวจ
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อระบบเรดาร์ของหน่วยยามฝั่งญี่ปุ่นตรวจพบเรือสำรวจทางทะเลของเกาหลีใต้ลำหนึ่งกำลังดำเนินกิจกรรมบางอย่างในบริเวณ เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) ที่ญี่ปุ่นอ้างสิทธิ์ ซึ่งอยู่รอบเกาะทาเกชิมะ การเคลื่อนไหวดังกล่าวจุดชนวนให้ กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ดำเนินการอย่างรวดเร็วผ่านช่องทางการทูตในกรุงโซล เพื่อยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการและเรียกร้องให้เกาหลีใต้ยุติกิจกรรมดังกล่าวในทันที
นายโยชิมาสะ ฮายาชิ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น แถลงต่อสื่อมวลชนด้วยท่าทีแข็งกร้าวว่า “การกระทำของเกาหลีใต้เป็นการละเมิดอธิปไตยของญี่ปุ่นอย่างชัดเจน และเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง เราขอเรียกร้องอย่างหนักแน่นให้พวกเขายุติปฏิบัติการทันที”
อย่างไรก็ตาม การประท้วงดังกล่าวถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยจากฝั่งเกาหลีใต้ กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ทันควัน โดยระบุว่า “ดกโดเป็นดินแดนของสาธารณรัฐเกาหลีโดยสมบูรณ์ การสำรวจทางวิทยาศาสตร์ในน่านน้ำอาณาเขตของเราเป็นสิทธิ์อันชอบธรรม และเราขอปฏิเสธการอ้างสิทธิ์ที่ไม่สมเหตุสมผลใดๆ จากรัฐบาลญี่ปุ่น”
การปะทะคารมทางการทูตลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะมันเกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ และประธานาธิบดียุน ซ็อก-ยอล พยายามอย่างหนักที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ตกต่ำมานานหลายปีให้กลับมาสู่ภาวะปกติ
ทำไมเกาะเล็กๆ จึงสำคัญ? เจาะลึกประวัติข้อพิพาทญี่ปุ่นเกาหลีใต้
สำหรับคนนอกที่มองเข้ามา อาจเกิดคำถามว่า ทําไมญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ไม่ถูกกัน เพียงเพราะเกาะหินเล็กๆ สองเกาะที่แทบไม่มีคนอยู่อาศัย แต่สำหรับทั้งสองชาติ เกาะทาเกชิมะ/ดกโด ไม่ใช่แค่พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่อัดแน่นไปด้วยประวัติศาสตร์ บาดแผล และศักดิ์ศรีของชาติ
ประวัติข้อพิพาทญี่ปุ่นเกาหลีใต้ ในเรื่องนี้มีความซับซ้อนและสามารถมองได้จากหลายมุม
มุมมองจากฝั่งญี่ปุ่น หลักฐานการผนวกดินแดน
ญี่ปุ่นอ้างว่าพวกเขาได้สำรวจและรับรู้ถึงการมีอยู่ของเกาะนี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 และได้ผนวกรวมเกาะดังกล่าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดชิมาเนะอย่างเป็นทางการและสันติในปี 1905 ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงการล่าอาณานิคมบนคาบสมุทรเกาหลี ญี่ปุ่นยืนยันว่าการผนวกดินแดนในครั้งนั้นเป็นการกระทำต่อดินแดนที่ไม่มีเจ้าของ (Terra nullius) และเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศในยุคนั้น
มุมมองจากฝั่งเกาหลีใต้ ประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า
ในทางกลับกัน เกาหลีใต้อ้างอิงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่กว่า โดยระบุว่าเอกสารโบราณของเกาหลีหลายชิ้นได้กล่าวถึงเกาะแห่งนี้ (ในชื่อ “อูซันโด”) ว่าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเกาหลีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 พวกเขามองว่าการผนวกเกาะของญี่ปุ่นในปี 1905 เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการรุกรานและล่าอาณานิคมคาบสมุทรเกาหลี และถือเป็นโมฆะ
ความขัดแย้งยิ่งทวีความซับซ้อนขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ สนธิสัญญาซานฟรานซิสโก ในปี 1951 ซึ่งกำหนดเขตแดนของญี่ปุ่นหลังสงคราม ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าเกาะแห่งนี้เป็นของชาติใด ความคลุมเครือดังกล่าวได้เปิดช่องให้ทั้งสองฝ่ายอ้างกรรมสิทธิ์มาจนถึงปัจจุบัน โดยเกาหลีใต้ได้เข้าควบคุมเกาะนี้ในทางปฏิบัติมาตั้งแต่ทศวรรษ 1950 และยังคงมีกองกำลังตำรวจประจำการอยู่จนถึงทุกวันนี้
มากกว่าแค่ก้อนหินในทะเล สัญลักษณ์แห่งบาดแผลและชาตินิยม
ข้อพิพาทเกาะทาเกชิมะ ดกโด ได้กลายมาเป็นประเด็นที่ปลุกเร้ากระแส ชาตินิยม ในทั้งสองประเทศได้อย่างง่ายดาย
- สำหรับเกาหลีใต้ ดกโดคือสัญลักษณ์ของการต่อต้านจักรวรรดินิยมญี่ปุ่น และเป็นเครื่องยืนยันถึงเอกราชและอธิปไตยที่ได้มาอย่างยากลำบาก การยอมเสียเกาะนี้ไปแม้แต่นิ้วเดียว เทียบเท่ากับการยอมรับความชอบธรรมของการปกครองในยุคอาณานิคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวเกาหลีใต้ส่วนใหญ่รับไม่ได้
- สำหรับญี่ปุ่น ทาเกชิมะคือประเด็นด้านอธิปไตยและหลักการตามกฎหมายระหว่างประเทศ การปล่อยให้เกาหลีใต้ยึดครองต่อไปโดยไม่โต้แย้ง อาจถูกมองว่าเป็นการเสียดินแดนและสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีต่อข้อพิพาทอื่นๆ ที่ญี่ปุ่นมีอยู่
ด้วยเหตุนี้ นักการเมืองของทั้งสองฝ่ายจึงมักใช้ประเด็นนี้ในการปลุกระดมผู้สนับสนุนและเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาสังคมหรือเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้ข้อพิพาทที่ควรจะจัดการอย่างเงียบๆ ผ่านการทูต กลายเป็นเรื่องราวดราม่าที่ถูกขยายใหญ่โตผ่านสื่ออยู่เสมอ
ความสัมพันธ์ที่กำลังเปราะบาง เมื่อความมั่นคงภูมิภาคถูกท้าทาย
สิ่งที่ทำให้การปะทุของข้อพิพาทครั้งนี้น่ากังวลกว่าครั้งก่อนๆ คือ บริบททางภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนไป ปัจจุบัน ทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต่างเผชิญกับภัยคุกคามร่วมกันจากโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือและการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในภูมิภาค
สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของทั้งสองชาติ ได้พยายามอย่างยิ่งที่จะผลักดันให้เกิดความร่วมมือไตรภาคี (U.S.-Japan-South Korea) ที่แข็งแกร่งขึ้น ทั้งในด้านการซ้อมรบร่วมและการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมาก็มีความคืบหน้าที่ดีอย่างเห็นได้ชัด การพบปะกันของผู้นำทั้งสามชาติที่แคมป์เดวิดถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์
ทว่า เหตุการณ์ล่าสุดนี้ได้แสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ยังคงยืนอยู่บนพื้นฐานที่สั่นคลอน การที่ทั้งสองชาติยอมให้ “เรื่องเล็ก” มาบั่นทอน “เรื่องใหญ่” ได้ ย่อมสร้างความกังวลให้กับสหรัฐฯ และพันธมิตรอื่นๆ ว่าความร่วมมือด้านความมั่นคงที่พยายามสร้างขึ้นมานั้นจะยั่งยืนจริงหรือไม่
บทสรุป
ผลกระทบข้อพิพาทเกาะดกโดล่าสุด อาจไม่นำไปสู่ความขัดแย้งทางทหารในเร็ววันนี้ แต่ได้สร้างรอยร้าวที่ชัดเจนขึ้นในเกราะป้องกันความมั่นคงแห่งเอเชียตะวันออก มันตอกย้ำความจริงที่ว่า ตราบใดที่บาดแผลทางประวัติศาสตร์ยังไม่ได้รับการเยียวยาอย่างแท้จริง ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ก็อาจเป็นเพียงภาพลวงตาที่พร้อมจะพังทลายได้ทุกเมื่อ
สำหรับอนาคตของ ความสัมพันธ์ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นั้นยังคงเต็มไปด้วยความท้าทาย ผู้นำของทั้งสองประเทศต้องเผชิญกับโจทย์ที่ยากอย่างยิ่งในการสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์แห่งชาติในระยะยาวกับแรงกดดันจากกระแสชาตินิยมภายในประเทศ และคำตอบของโจทย์ข้อนี้ ไม่เพียงแต่จะกำหนดชะตากรรมของสองประเทศ แต่ยังจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกทั้งหมดในทศวรรษข้างหน้า
แหล่งที่มาจาก : am2con