จีนกำลังเผชิญกับมหาอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ทางตอนใต้ของประเทศ พายุฝนที่ตกกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งได้เปลี่ยนเมืองเศรษฐกิจสำคัญให้กลายเป็นเมืองบาดาล โดยเฉพาะในมณฑลกวางตุ้งและฝูเจี้ยน สถานการณ์น้ำท่วมจีนล่าสุด ไม่ใช่แค่ภัยพิบัติที่สร้างความสูญเสียใหญ่หลวงต่อชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังเป็นบททดสอบครั้งสำคัญต่อโครงการ “เมืองฟองน้ำ” ที่รัฐบาลจีนทุ่มเทสร้างสรรค์ และที่สำคัญกว่านั้นคือ คลื่นยักษ์แห่งวิกฤตครั้งนี้กำลังส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลกผ่านห่วงโซ่อุปทานที่อาจหยุดชะงัก และแน่นอนว่า ประเทศไทยย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบนี้ได้
เสียงสัญญาณเตือนภัยระดับสีแดงดังก้องไปทั่วภาคใต้ของจีน ขณะที่มวลน้ำมหาศาลจาก ฝนตกหนักในจีน ได้เข้าโหมกระหน่ำ มณฑลกวางตุ้ง และ มณฑลฝูเจี้ยน ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจทางเศรษฐกิจและ “โรงงานของโลก” วิกฤต ภัยพิบัติจีน ครั้งนี้รุนแรงถึงขั้นที่สื่อทางการจีนเรียกว่าเป็น “อุทกภัยครั้งหนึ่งในรอบศตวรรษ” ทำให้ระดับน้ำใน แม่น้ำจูเจียง สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ประชาชนกว่าแสนคนต้องอพยพหนีตายอลหม่าน บทความนี้จะพาไปสำรวจ สถานการณ์น้ำท่วมล่าสุดจีน อย่างเจาะลึก พร้อมวิเคราะห์ว่าโครงการ เมืองฟองน้ำ (Sponge City) ที่จีนภาคภูมิใจ สามารถรับมือกับหายนะครั้งนี้ได้จริงหรือไม่ และที่สำคัญที่สุด ผลกระทบน้ำท่วมจีนต่อเศรษฐกิจไทย จะรุนแรงเพียงใด
สถานการณ์ล่าสุด เมื่อ “โรงงานของโลก” จมอยู่ใต้น้ำ
ศูนย์อุตุนิยมวิทยาแห่งชาติจีน (NMC) ได้ประกาศยกระดับการเตือนภัยสู่ระดับสูงสุด (สีแดง) ในหลายพื้นที่ของมณฑลกวางตุ้งและฝูเจี้ยน หลังจากเผชิญปริมาณฝนสะสมที่สูงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน บางพื้นที่วัดปริมาณน้ำฝนได้มากกว่า 600 มิลลิเมตรในเวลาเพียง 2 วัน ส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มเป็นวงกว้าง
เมืองเหมยโจว (Meizhou) ในมณฑลกวางตุ้ง คือหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายรุนแรงที่สุด ภาพจากโดรนเผยให้เห็นสภาพเมืองที่จมอยู่ใต้น้ำเกือบทั้งหมด อาคารบ้านเรือน ถนน และพื้นที่เกษตรกรรมกลายเป็นทะเลโคลนสีขุ่น การสื่อสารและไฟฟ้าถูกตัดขาด ทำให้ปฏิบัติการช่วยเหลือและกู้ภัยเป็นไปด้วยความยากลำบาก
“มันเหมือนกับวันสิ้นโลก” นางหลิว, ผู้รอดชีวิตในเมืองเหมยโจวกล่าวทั้งน้ำตา “เราได้ยินเสียงดังสนั่นตอนกลางดึก และเพียงไม่กี่นาทีต่อมาน้ำก็ทะลักเข้ามาในบ้าน เราต้องปีนขึ้นไปบนหลังคาเพื่อเอาชีวิตรอด”
ประเด็นสำคัญของสถานการณ์ปัจจุบัน
- การอพยพครั้งใหญ่ ทางการได้สั่งอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 110,000 คน ออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยริมตลิ่งและที่ลาดเชิงเขา
- ความสูญเสีย มีรายงานผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก ซึ่งตัวเลขที่แท้จริงคาดว่าจะสูงกว่านี้เมื่อทีมกู้ภัยสามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ถูกตัดขาดได้ทั้งหมด
- โครงสร้างพื้นฐานเสียหายหนัก เขื่อนและอ่างเก็บน้ำหลายแห่งมีปริมาณน้ำเกินความจุ สะพานและถนนจำนวนมากถูกทำลาย สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจโดยตรงคิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านหยวนแล้ว
- การตอบสนองของภาครัฐ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้สั่งการให้หน่วยงานทุกภาคส่วนระดมกำลังทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือประชาชนและลดความสูญเสียให้ได้มากที่สุด กองทัพปลดแอกประชาชนจีนได้ถูกส่งเข้าไปในพื้นที่เพื่อสนับสนุนภารกิจกู้ภัย
พื้นที่น้ำท่วมในจีนมีที่ไหนบ้าง? คำตอบคือ แม้จะกระจายตัวในหลายมณฑลทางใต้ แต่จุดที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียง (Pearl River Delta) ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหานครอย่างกว่างโจวและเซินเจิ้น ศูนย์กลางเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของโลก
บทพิสูจน์ ‘เมืองฟองน้ำ’ (Sponge City) เมื่อทฤษฎีปะทะความจริง
สาเหตุน้ำท่วมจีน 2568 แม้จะมาจากปริมาณฝนที่หนักผิดปกติ แต่ก็ทำให้เกิดคำถามสำคัญถึงประสิทธิภาพของโครงการ “เมืองฟองน้ำ” (Sponge City) ซึ่งเป็นเมกะโปรเจกต์ที่รัฐบาลจีนริเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2015
แนวคิดของ เมืองฟองน้ำ คือการออกแบบเมืองให้สามารถ “ดูดซับ” และ “นำกลับมาใช้ใหม่” ซึ่งน้ำฝน แทนที่จะปล่อยให้ไหลทิ้งไปอย่างรวดเร็วผ่านท่อระบายน้ำคอนกรีตแบบเดิม โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว เช่น
- ทางเท้าและถนนที่น้ำซึมผ่านได้ (Permeable Pavements)
- สวนบนดาดฟ้า (Rooftop Gardens)
- พื้นที่ชุ่มน้ำและสวนสาธารณะสำหรับหน่วงน้ำ (Wetlands and Rain Gardens)
- ระบบกักเก็บน้ำใต้ดิน
จีนได้ทุ่มงบประมาณไปแล้วหลายแสนล้านหยวนกับโครงการนี้ในกว่า 30 เมืองทั่วประเทศ โดยหวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาทั้งน้ำท่วมและภัยแล้งได้อย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม อุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์นี้ได้แสดงให้เห็นถึงขีดจำกัดของแนวคิดดังกล่าว ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนชี้ว่า แม้โครงการเมืองฟองน้ำจะช่วยลดผลกระทบจากฝนตกในระดับปกติถึงหนักได้ แต่ก็ไม่สามารถรับมือกับปริมาณน้ำฝนที่ “เกินขีดสุด” หรือ “นอกเหนือสถิติ” อย่างที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้
“เมืองฟองน้ำถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับพายุฝนทั่วไป ไม่ใช่เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วระดับร้อยปีเกิดครั้ง” ดร.หลี่ เว่ย นักอุทกวิทยาจากมหาวิทยาลัยชิงหัวให้ความเห็น “มันช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อคุณมีฝนตก 600 มิลลิเมตรในสองวัน ไม่มีระบบไหนในโลกที่จะรับมือได้ทั้งหมด นี่คือบทเรียนสำคัญว่าเราต้องผสมผสานโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานสีเทา (เขื่อน, อุโมงค์ระบายน้ำยักษ์) ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม”
วิกฤต น้ำท่วมจีน ครั้งนี้จึงเป็นบททดสอบราคาแพงที่ทำให้รัฐบาลจีนต้องทบทวนและปรับปรุงยุทธศาสตร์การจัดการน้ำของประเทศครั้งใหญ่
ผลกระทบระลอกคลื่น จากโรงงานในจีน สู่เศรษฐกิจไทยและทั่วโลก
ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดสำหรับประชาคมโลกและประเทศไทย คือ ผลกระทบน้ำท่วมจีนต่อเศรษฐกิจไทย และห่วงโซ่อุปทานโลก มณฑลกวางตุ้งไม่ได้เป็นเพียงมณฑลหนึ่งของจีน แต่เป็นฐานการผลิตที่สำคัญอย่างยิ่งในหลากหลายอุตสาหกรรม
- อิเล็กทรอนิกส์ เป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตชิ้นส่วนสมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก
- ยานยนต์ เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) และชิ้นส่วนยานยนต์ที่ส่งออกไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย
- สินค้าอุปโภคบริโภค ตั้งแต่เสื้อผ้า, ของเล่น ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ล้วนมีฐานการผลิตอยู่ที่นี่
เมื่อโรงงานต้องหยุดการผลิตเนื่องจากน้ำท่วม หรือระบบโลจิสติกส์ เช่น ท่าเรือและทางรถไฟ ไม่สามารถใช้งานได้ ผลกระทบที่ตามมาคือ
- การขาดแคลนสินค้า สินค้าและชิ้นส่วนสำคัญอาจขาดตลาดในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
- ราคาสินค้าสูงขึ้น เมื่ออุปทานลดลงแต่ความต้องการยังเท่าเดิม ย่อมส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น กระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง
- กระทบภาคการผลิตของไทย โรงงานในประเทศไทยที่ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนจากจีนอาจต้องชะลอการผลิต ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อเศรษฐกิจโดยรวม
“เรากำลังจับตาสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด” ตัวแทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกล่าว “ผลกระทบระยะสั้นคือความล่าช้าในการขนส่ง แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อ เราอาจเห็นปัญหาการขาดแคลนชิปและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ซ้ำรอยเหมือนช่วงโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยอย่างแน่นอน”
รัฐบาลจีนแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างไร?
คำถามสุดท้ายคือ รัฐบาลจีนแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างไร? เมื่อเผชิญกับวิกฤตระดับนี้ รัฐบาลจีนได้ใช้แนวทางการตอบสนองแบบ “รวมศูนย์สั่งการ” อย่างเต็มกำลัง
- สั่งการจากส่วนกลาง ผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้บัญชาการสถานการณ์โดยตรง
- ระดมสรรพกำลัง กองทัพ, ตำรวจติดอาวุธ, และหน่วยดับเพลิงหลายแสนนายถูกส่งเข้าไปยังพื้นที่ประสบภัย
- ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย มีการใช้โดรนเพื่อสำรวจความเสียหายและค้นหาผู้รอดชีวิต รวมถึงใช้ระบบดาวเทียมในการประเมินสถานการณ์และวางแผนการระบายน้ำ
- ควบคุมสื่อ มีการนำเสนอข่าวความพยายามในการช่วยเหลือของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
แม้การตอบสนองจะรวดเร็วและเป็นระบบ แต่ขนาดของภัยพิบัติในครั้งนี้ก็ใหญ่เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด และยังคงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งยวดสำหรับทางการจีน
บทสรุป
สถานการณ์น้ำท่วมล่าสุดจีน เป็นมากกว่าโศกนาฏกรรมในประเทศใดประเทศหนึ่ง มันคือภาพจำลองของอนาคตที่โลกต้องเผชิญจากสภาพอากาศที่แปรปรวนรุนแรง วิกฤตครั้งนี้ได้เผยให้เห็นทั้งความพยายามอันน่าทึ่งในการสร้าง “เมืองฟองน้ำ” และขีดจำกัดของมันเมื่อต้องเผชิญกับพลังของธรรมชาติที่แท้จริง
สำหรับประเทศไทยและทั่วโลก นี่คือสัญญาณเตือนให้ตระหนักว่า เราเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออกผ่านห่วงโซ่อุปทานโลก วิกฤตที่เกิดขึ้นห่างไกลออกไปหลายพันกิโลเมตร อาจส่งผลกระทบโดยตรงถึงปากท้องและเศรษฐกิจของเราได้ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและการเตรียมแผนรับมือกับความเสี่ยง คือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
แหล่งที่มาจาก : am2con