การเคลื่อนไหวล่าสุดของเวียดนามในการเปิดโต๊ะเจรจาการค้าครั้งสำคัญกับสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่แค่ข่าวเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน แต่คือสัญญาณเตือนที่ดังขึ้นในสนามแข่งขันที่ประเทศไทยยืนอยู่… ในขณะที่เวียดนามกำลังเดินเกมรุกเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้าและดึงดูดการลงทุนระลอกใหม่ คำถามสำคัญที่ดังก้องมาถึงผู้ประกอบการและผู้กำหนดนโยบายของไทยคือ เราพร้อมแค่ไหนที่จะรับมือกับความท้าทายจาก “คู่แข่งทางเศรษฐกิจ” ที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาค บทความนี้จะเจาะลึกถึงเดิมพันครั้งใหญ่ของเวียดนาม และวิเคราะห์อย่างรอบด้านว่าการต่อรองของพวกเขา จะส่งผลกระทบต่ออนาคตการส่งออกของไทยอย่างไร
เวียดนามเดินเกมรุก เจาะลึกเป้าหมายการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ
คณะผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนามได้เริ่มการเจรจารอบใหม่กับ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการสร้างสภาพแวดล้อมทางการค้าที่คาดการณ์ได้และมีเสถียภาพมากขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของ เศรษฐกิจเวียดนาม ที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก
สิ่งที่เวียดนามต้องการ
- การทบทวนอัตราภาษี ต้องการเจรจาลดหรือยกเลิกภาษีนำเข้าในสินค้าหลายรายการ โดยเฉพาะสินค้าที่เวียดนามเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ เช่น เฟอร์นิเจอร์, สินค้าอิเล็กทรอนิกส์, สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม, และสินค้าเกษตร
- หลีกเลี่ยงมาตรการทางการค้า ต้องการสร้างความมั่นใจว่าจะไม่ถูกสหรัฐฯ ใช้มาตรการทางการค้าฝ่ายเดียว เช่น การกล่าวหาเรื่องการบิดเบือนค่าเงิน หรือการใช้มาตรา 301 ตอบโต้ทางการค้า
- ยกระดับความสัมพันธ์ ปูทางไปสู่การเจรจา ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างสองประเทศในอนาคต
การเจรจาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงยุทธศาสตร์เชิงรุกของเวียดนามที่มองเห็นโอกาสจากการที่ ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) โลกกำลังย้ายฐานออกจากจีนจากผลพวงของ สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ
ไทย VS เวียดนาม สมรภูมิเดือดในตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
สหรัฐอเมริกาคือตลาดส่งออกที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทั้งไทยและเวียดนาม และเป็นสมรภูมิที่ทั้งสองประเทศแข่งขันกันอย่างดุเดือดในหลายกลุ่มสินค้า การทำความเข้าใจว่า ทำไมเวียดนามถึงเป็นคู่แข่งของไทย ต้องดูที่โครงสร้างการส่งออกที่คล้ายคลึงกัน
จุดที่เวียดนามได้เปรียบไทยอย่างชัดเจนคือเครือข่ายข้อตกลงการค้าเสรี เวียดนามเป็นสมาชิกของข้อตกลงสำคัญๆ เช่น CPTPP และ EVFTA (FTA กับสหภาพยุโรป) ซึ่งทำให้สินค้าของพวกเขาสามารถเข้าถึงตลาดสำคัญๆ ของโลกได้ด้วยอัตราภาษีที่ต่ำกว่า แม้ว่าทั้งไทยและเวียดนามจะยังไม่มี FTA กับสหรัฐฯ แต่การที่เวียดนามเปิดการเจรจาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความว่องไวเชิงนโยบายที่ไทยจำเป็นต้องเร่งตามให้ทัน
“ผลกระทบต่อไทย” เมื่อเวียดนามได้เปรียบ เราเสียอะไร?
หากการเจรจา การค้าเวียดนาม-สหรัฐฯ ประสบความสำเร็จ และเวียดนามได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ดีขึ้น จะเกิด ผลกระทบต่อไทย โดยตรงในหลายมิติ
- การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคา สินค้าไทยในกลุ่มเดียวกันจะดู “แพงกว่า” สินค้าเวียดนามโดยทันทีในสายตาของผู้นำเข้าชาวอเมริกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การลดคำสั่งซื้อจากประเทศไทย
- การย้ายฐานการลงทุน (Investment Diversion) บริษัทข้ามชาติที่กำลังมองหาฐานการผลิตแห่งใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจเลือกไปลงทุนในเวียดนามแทนประเทศไทย เพื่อใช้ประโยชน์จากต้นทุนที่ต่ำกว่าและสิทธิประโยชน์ทางการค้าที่ดีกว่า
- แรงกดดันต่อผู้ส่งออกไทย ผู้ประกอบการไทยจะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และอาจถูกบีบให้ต้องลดราคาลงเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรโดยตรง
ทางออกของไทย ยุทธศาสตร์ที่ต้องปรับเพื่อความอยู่รอด
ท่ามกลางความท้าทายนี้ ประเทศไทยไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป และนี่คือแนวทางที่ต้องพิจารณาอย่างเร่งด่วน
- เร่งเครื่องเจรจา FTA กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องผลักดันการเจรจา FTA ที่ค้างอยู่ โดยเฉพาะกับคู่ค้าสำคัญอย่างสหภาพยุโรป และอาจต้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการรื้อฟื้นการเจรจากับสหรัฐฯ อีกครั้ง (ไทยควรทำ FTA กับสหรัฐหรือไม่? เป็นคำถามที่ต้องหาคำตอบอย่างจริงจัง)
- ยกระดับสินค้าสู่ High-Value แทนที่จะแข่งขันด้านราคาเพียงอย่างเดียว การส่งออกของไทย ต้องมุ่งเน้นไปที่การสร้างมูลค่าเพิ่ม นวัตกรรม และแบรนด์ดิ้งที่แข็งแกร่ง เช่น การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, อาหารแห่งอนาคต (Future Food), หรือผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์
- เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติมาใช้ในภาคการผลิต เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
- กระจายตลาดส่งออก ลดการพึ่งพิงตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ และจีน โดยการบุกเบิกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง, แอฟริกา และลาตินอเมริกา
บทสรุป ถึงเวลาที่ไทยต้องวิ่งให้เร็วขึ้น
การเจรจาการค้าของเวียดนามกับสหรัฐฯ คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าโลกการค้าไม่เคยหยุดนิ่ง ความสำเร็จในอดีตไม่ได้รับประกันความสำเร็จในอนาคต ในขณะที่ คู่แข่งทางเศรษฐกิจ ของเรากำลังวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ประเทศไทยก็ไม่สามารถเดินด้วยความเร็วเท่าเดิมได้อีกต่อไป
นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ต้องร่วมมือกันทบทวนยุทธศาสตร์ของประเทศอย่างจริงจัง และลงมือทำอย่างรวดเร็ว เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้า “Made in Thailand” จะยังคงสามารถแข่งขันและยืนหยัดอยู่ในเวทีโลกได้อย่างสง่างาม
แหล่งที่มาจาก : am2con