Netflix ซื้อ Warner Bros Discovery เดิมพันแสนล้านที่อาจ “ล้างกระดาน” อุตสาหกรรมสื่อโลก

Netflix ซื้อ Warner Bros Discovery

โลกธุรกิจบันเทิงกำลังกลั้นหายใจ เมื่อรายงานจากแหล่งข่าววงในระดับสูงของ Wall Street ระบุตรงกันว่า ยักษ์ใหญ่แห่งวงการสตรีมมิ่งอย่าง “Netflix” ได้เปิดโต๊ะเจรจาเบื้องต้นกับ “Warner Bros. Discovery” (WBD) สตูดิโอระดับตำนานที่มีอายุกว่าร้อยปี ข่าวการเจรจา Netflix ซื้อ Warner Bros Discovery ในครั้งนี้ เปรียบเสมือนแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฮอลลีวูดและซิลิคอนวัลเลย์ หากดีลนี้เกิดขึ้นจริง มันจะไม่ใช่เพียงการควบรวมกิจการทั่วไป แต่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์สื่อมวลชนโลก เปลี่ยนจากยุคที่ “เนื้อหาคือราชา” (Content is King) สู่ยุคที่ “การครอบครองเบ็ดเสร็จคือพระเจ้า” (Total Consolidation is God)

What to Know About Netflix's $83 Billion Deal for Warner Bros. Discovery -  The New York Times

เบื้องลึกดีลสะท้านโลก ทำไมต้องเป็นตอนนี้?

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนและต้นทุนทางการเงินที่สูงลิ่ว คำถามสำคัญที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ต่างตั้งข้อสงสัยคือ “ทำไม”

สำหรับ Warner Bros. Discovery ภายใต้การนำของ David Zaslav สถานการณ์ของบริษัทเปรียบเสมือนยักษ์ป่วยที่แบกรับหนี้สินมหาศาลกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการควบรวมกิจการครั้งก่อนหน้า แม้จะพยายามลดต้นทุนอย่างเกรี้ยวกราด ทั้งการยกเลิกโปรเจกต์หนัง (เช่น Batgirl) หรือการปลดพนักงาน แต่ราคาหุ้นของ WBD ก็ยังคงดิ่งลงอย่างน่าใจหาย การขายกิจการให้แก่บริษัทที่มีสถานะทางการเงินแข็งแกร่งอย่าง Netflix จึงอาจเป็นทางออกสุดท้ายที่จะรักษา “มรดก” ของสตูดิโอเอาไว้

ในขณะที่ฝั่ง Netflix ของ Ted Sarandos และ Greg Peters แม้จะนั่งอยู่บนบัลลังก์ผู้นำ แต่พวกเขาก็เผชิญกับกำแพงการเติบโต (Growth Wall) ตลาดสตรีมมิ่งเริ่มอิ่มตัว การหาลูกค้าใหม่ยากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ Netflix ขาดแคลนไม่ใช่เงินสด แต่คือ “คลังสมบัติทางปัญญา” (Intellectual Property – IP) ที่มีความลึกและยาวนาน พอที่จะตรึงคนดูให้อยู่กับแพลตฟอร์มไปตลอดกาล และ WBD คือเจ้าของคลังสมบัตินั้น

ขุมทรัพย์ทางปัญญา เมื่อ Harry Potter และ Batman อาจย้ายบ้าน

หากการเจรจา Netflix ซื้อ Warner Bros Discovery ประสบความสำเร็จ สิ่งที่ Netflix จะได้รับไม่ใช่แค่อาคารสำนักงานหรือสตูดิโอถ่ายทำ แต่คือสิทธิ์ในการครอบครองแฟรนไชส์ที่ทรงพลังที่สุดในโลก pop culture

  • DC Universe การได้ครอบครอง Superman, Batman และ Wonder Woman จะทำให้ Netflix มีอาวุธหนักไปต่อกรกับ Marvel ของ Disney+ ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
  • Wizarding World แฟรนไชส์ Harry Potter ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าประเมินค่าไม่ได้ สามารถนำมาต่อยอดเป็นซีรีส์ เกม และสวนสนุก (ในรูปแบบ Digital Experience)
  • HBO Prestige Content ซีรีส์คุณภาพสูงอย่าง Game of Thrones, Succession และ The Last of Us จะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของ Netflix จาก “Content Factory” สู่ “House of Quality”
  • คลังข่าว CNN แม้ Netflix จะพยายามเลี่ยงข่าวสารมาตลอด แต่การได้ CNN อาจเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าสู่ตลาด Live News และโฆษณา

นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence ให้ทัศนะว่า

“Netflix เก่งเรื่องเทคโนโลยีและการกระจายสินค้า (Distribution) แต่พวกเขาต้องใช้เงินมหาศาลทุกปีเพื่อสร้างคอนเทนต์ใหม่ ในขณะที่ Warner Bros. มีคอนเทนต์ระดับตำนานกองพะเนินแต่ขาดช่องทางทำเงินที่มีประสิทธิภาพ การจับคู่ครั้งนี้คือการเติมเต็มส่วนที่ขาดที่สมบูรณ์แบบที่สุดในทศวรรษ”

Netflix explores bid for Warner Bros. Discovery studio and streaming

อุปสรรคชิ้นโต กำแพงกฎหมายและการผูกขาด (Antitrust Hurdle)

อย่างไรก็ตาม หนทางของดีลนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดที่รออยู่ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่คือ “คณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหพันธรัฐ” (FTC) ของสหรัฐอเมริกา และหน่วยงานกำกับดูแลในสหภาพยุโรป

ภายใต้การจับตามองของ Lina Khan ประธาน FTC ที่มีนโยบายเข้มงวดต่อการผูกขาดของบริษัทเทคโนโลยี การรวมตัวกันของ “แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเบอร์ 1 ของโลก” กับ “สตูดิโอผลิตคอนเทนต์ระดับท็อป 3 ของโลก” ย่อมถูกมองว่าเป็นการทำลายการแข่งขัน (Anti-competitive)

ประเด็นทางกฎหมายที่จะถูกหยิบยกมาพิจารณา ได้แก่

  1. อำนาจเหนือตลาด (Market Dominance) หากรวมกันแล้ว จะทำให้คู่แข่งรายอื่นอย่าง Disney+, Amazon Prime Video หรือ Apple TV+ เสียเปรียบจนไม่สามารถแข่งขันได้หรือไม่?
  2. อำนาจต่อรองกับผู้ผลิต (Monopsony Power) การมีผู้ซื้อคอนเทนต์รายใหญ่เพียงรายเดียว จะทำให้ผู้กำกับ นักเขียน และนักแสดง ไร้อำนาจต่อรองค่าตอบแทนหรือไม่?
  3. ผลกระทบต่อราคา (Price Impact) เมื่อคู่แข่งลดลง ผู้บริโภคอาจต้องเผชิญกับการขึ้นราคาค่าสมาชิกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและผู้บริโภคทั่วโลก

หากดีล Netflix ซื้อ Warner Bros Discovery ผ่านด่านกฎหมายไปได้ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตดิจิทัลของเราไปตลอดกาล

  • การรวมแอปพลิเคชัน (App Consolidation) เราอาจเห็นแอป HBO Max (หรือ Max) หายไป และเนื้อหาทั้งหมดถูกผนวกรวมเข้าไปใน Netflix กลายเป็น “Super App” สำหรับความบันเทิง
  • ราคาค่าสมาชิกที่สูงขึ้น ด้วยต้นทุนการซื้อกิจการและความพรีเมียมของเนื้อหา ค่าสมาชิกรายเดือนอาจพุ่งสูงขึ้น แต่ผู้บริโภคอาจยอมจ่ายเพื่อแลกกับความสะดวกสบายที่ไม่ต้องสมัครหลายแอป
  • ผลกระทบต่อโรงภาพยนตร์ Netflix มีนโยบายเน้นฉายผ่านสตรีมมิ่ง ในขณะที่ Warner Bros. คือผู้พิทักษ์วัฒนธรรมการดูหนังในโรง การปะทะกันของสองปรัชญานี้อาจชี้ชะตาอนาคตของธุรกิจโรงภาพยนตร์ทั่วโลก หาก Netflix ตัดสินใจส่งหนังฟอร์มยักษ์อย่าง Batman ลงจอก่อนโรงหนัง นั่นอาจเป็นจุดจบของ Box Office แบบดั้งเดิม

Netflix to Acquire Warner Bros. Discovery for $82.7 Billion -  InsideArbitrage

มุมมองเสริม นัยยะต่อตลาดเอเชียและไทย

สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไทย ดีลนี้อาจส่งผลกระทบในเชิงโครงสร้าง

  1. การผลิตคอนเทนต์ท้องถิ่น (Local Originals) Netflix อาจใช้ทรัพยากรของ WBD ในการยกระดับโปรดักชั่น Thai Originals ให้มีความเป็นสากลมากขึ้น หรือนำ IP ของ Warner มาดัดแปลงในบริบทเอเชีย
  2. ลิขสิทธิ์และการฉาย ภาพยนตร์ของค่าย Warner Bros. ที่เคยเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในไทยอย่างสม่ำเสมอ อาจถูกปรับเปลี่ยนตารางฉาย หรือลดระยะเวลา Exclusive ในโรงลง ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโรงหนังในไทยอย่าง Major Cineplex หรือ SF Cinema โดยตรง

บทสรุป จุดเปลี่ยนผ่านหรือจุดจบของความหลากหลาย?

ข่าวการเจรจา Netflix ซื้อ Warner Bros Discovery ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ทุกย่างก้าวของการเจรจาจะส่งผลต่อราคาหุ้นและความเชื่อมั่นของนักลงทุน

หากดีลนี้เกิดขึ้นจริง มันจะเป็นบทพิสูจน์ทฤษฎีที่ว่า “ในโลกดิจิทัล ผู้ชนะจะกินรวบ” (Winner Takes All) เราอาจกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ที่เส้นแบ่งระหว่างบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทภาพยนตร์จางหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงผู้ให้บริการความบันเทิงขนาดยักษ์ที่กำหนดรสนิยมของคนทั้งโลก

สำหรับผู้บริโภค นี่อาจเป็นข่าวดีในแง่ของความสะดวกสบาย แต่ในระยะยาว การมีตัวเลือกที่น้อยลงย่อมไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป คำถามสุดท้ายคือ เราพร้อมที่จะฝากความบันเทิงและวัฒนธรรมของเราไว้ในมือของบริษัทเพียงบริษัทเดียวหรือไม่?

แหล่งที่มาจาก : am2con