เอเชียร่ำไห้! กองทัพอินโดฯ-ศรีลังกา “ประกาศสงครามกับธรรมชาติ” เร่งกู้ภัยวิกฤต “น้ำท่วมดินถล่มเอเชีย” หลังยอดดับจ่อทะลุ 1,000 ศพ

น้ำท่วมดินถล่มเอเชีย

(JAKARTA/COLOMBO) — ภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญกับบททดสอบครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อมรสุมมรณะที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงผิดปกติ ได้พัดถล่มสองประเทศที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญอย่าง “อินโดนีเซีย” และ “ศรีลังกา” พร้อมกัน ส่งผลให้เกิด น้ำท่วมดินถล่มเอเชีย ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ ล่าสุดตัวเลขผู้เสียชีวิตรวมทั้งสองประเทศกำลังพุ่งทะยานเข้าใกล้หลัก 1,000 ศพ บีบให้ผู้นำของทั้งสองชาติไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากสั่งระดมสรรพกำลังทางทหารเต็มรูปแบบ เพื่อทำสงครามกู้ชีพแข่งกับเวลา

Military deployed in Sri Lanka, Indonesia as floods kill over 1,000 across  Asia | South China Morning Post

สมรภูมิโคลนตม อินโดนีเซียระดมพลนับหมื่น

ในจังหวัดสุมาตราเหนือและชวาตะวันตก ของอินโดนีเซีย สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤตสุดขีด ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักติดต่อกัน 72 ชั่วโมง ได้เปลี่ยนภูเขาเขียวขจีให้กลายเป็นทะเลโคลนที่ไหลบ่าเข้ากลบฝังหมู่บ้านหลายแห่งในยามวิกาล

ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ได้ออกคำสั่งฉุกเฉินให้กองทัพแห่งชาติอินโดนีเซีย (TNI) นำโดยหน่วยรบพิเศษ Kopassus และกองทัพอากาศ เข้าสู่พื้นที่ประสบภัย

  • ปฏิบัติการทางอากาศ เฮลิคอปเตอร์ทหารนับสิบลำถูกส่งขึ้นบินฝ่าสภาพอากาศปิด เพื่อหย่อนเสบียงอาหารและเวชภัณฑ์ให้กับผู้ประสบภัยนับแสนคนที่ติดเกาะอยู่บนที่สูง
  • การค้นหาใต้ซากปรักหักพัง ภาพทหารหนุ่มที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนโคลน กำลังขุดหาผู้รอดชีวิตด้วยมือเปล่าและเครื่องมือช่าง กลายเป็นภาพที่สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลกโซเชียลมีเดีย

“เราไม่ได้กำลังสู้กับข้าศึก แต่เรากำลังสู้กับภูเขาที่กำลังพังทลาย นี่คือภารกิจกู้ชาติในรูปแบบใหม่” พลโท เอกา วิบิโซโน ผู้บัญชาการกองกำลังบรรเทาภัยพิบัติอินโดนีเซีย ให้สัมภาษณ์กับ Jakarta Post ในพื้นที่เกิดเหตุ

ศรีลังกา วิกฤตซ้ำซ้อนบนเกาะแห่งน้ำตา

ข้ามมหาสมุทรอินเดียไปที่ศรีลังกา สถานการณ์เลวร้ายไม่แพ้กัน อิทธิพลของพายุไซโคลนลูกเดียวกันทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันใน 14 เขตทั่วประเทศ รวมถึงพื้นที่เพาะปลูกชาและยางพาราซึ่งเป็นหัวใจทางเศรษฐกิจ รัฐบาลศรีลังกาซึ่งยังคงบอบช้ำจากวิกฤตเศรษฐกิจ ได้สั่งการให้กองทัพบกและกองทัพเรือนำเรือท้องแบนและรถสะเทินน้ำสะเทินบก (Amphibious Vehicles) ออกช่วยเหลือประชาชน

รายงานจากศูนย์จัดการภัยพิบัติ (DMC) ของศรีลังกา ระบุว่ายอดผู้เสียชีวิตเฉพาะในศรีลังกาพุ่งสูงกว่า 300 ราย และสูญหายอีกจำนวนมาก ขณะที่ในอินโดนีเซียตัวเลขผู้เสียชีวิตยืนยันแล้วกว่า 600 ราย ทำให้ยอดรวมของวิกฤต น้ำท่วมดินถล่มเอเชีย ครั้งนี้เข้าใกล้หลัก 1,000 รายอย่างน่าตกใจ

Rescue efforts intensify as death toll from floods in Asia tops 1,300 - The  Globe and Mail

วิเคราะห์สาเหตุ เมื่อมหาสมุทรเดือด

นักอุตุนิยมวิทยาชี้ว่า ความรุนแรงของภัยพิบัติครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากปรากฏการณ์ Indian Ocean Dipole (IOD) ในเฟสลบที่รุนแรง ประกอบกับอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน (Global Warming) ทำให้มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือปีนี้มีพลังงานมหาศาล

ดร. ซาร่าห์ เจนกินส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศจากสิงคโปร์ เตือนผ่าน CNA ว่า “สิ่งที่เราเห็นในอินโดนีเซียและศรีลังกา คือตัวอย่าง (Trailer) ของสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับภูมิภาคนี้ในอนาคต ฝนจะไม่ตกตามฤดูกาลปกติอีกต่อไป แต่มันจะมาในรูปแบบของ ‘ระเบิดฝน’ (Rain Bombs) ที่โครงสร้างพื้นฐานเดิมรับมือไม่ไหว”

ความร่วมมือระหว่างประเทศและท่าทีของไทย

วิกฤตครั้งนี้กระตุ้นให้เกิดความร่วมมือระดับภูมิภาค อาเซียน (ASEAN) ได้เปิดศูนย์ประสานงาน AHA Centre เพื่อเตรียมส่งความช่วยเหลือ ในขณะที่นานาชาติเริ่มระดมทุนบริจาค

สำหรับ ประเทศไทย แม้จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากพายุลูกนี้ แต่กรมอุตุนิยมวิทยาและศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ได้ออกประกาศเฝ้าระวังพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมรสุมลูกเดียวกันอาจเคลื่อนตัวเข้าปกคลุมมาเลเซียและภาคใต้ของไทยในช่วงปลายสัปดาห์นี้

  • บทเรียนสำหรับไทย การระดมพลของกองทัพอินโดฯ และศรีลังกา เป็นกรณีศึกษาสำคัญสำหรับกองทัพไทยในการเตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือและยุทธวิธี “ทหารพัฒนา” เพื่อรับมือภัยพิบัติขนาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

Sri Lanka, Indonesia deploy military as regional floods leave more than  1,100 dead - France 24

บทสรุป ภารกิจที่ยังไม่จบ

ขณะที่ระดับน้ำในบางพื้นที่เริ่มทรงตัว แต่ภารกิจของกองทัพทั้งสองชาติเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น การกู้ร่างผู้เสียชีวิต การป้องกันโรคระบาด และการฟื้นฟูจิตใจของผู้สูญเสีย เป็นงานหนักที่รออยู่เบื้องหน้า

เหตุการณ์ น้ำท่วมดินถล่มเอเชีย ปลายปี 2025 นี้ เป็นสัญญาณเตือนที่ดังก้องไปทั่วโลกว่า ความมั่นคงของชาติในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้วัดกันที่จำนวนขีปนาวุธ แต่วัดกันที่ความสามารถในการปกป้องประชาชนจากความเกรี้ยวกราดของธรรมชาติ และกองทัพคือกองหน้าสำคัญในสมรภูมินี้

แหล่งที่มาจาก : am2con