(COLOMBO) — ศรีลังกา ประเทศเกาะรูปหยดน้ำในมหาสมุทรอินเดีย กำลังเผชิญกับบททดสอบที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เมื่อพายุไซโคลนกำลังแรงได้พัดถล่มชายฝั่งตะวันตกและภาคใต้ ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องยาวนานกว่า 48 ชั่วโมง จนนำไปสู่ น้ำท่วมศรีลังกา ครั้งใหญ่ที่กลืนกินกรุงโคลัมโบและพื้นที่โดยรอบ ล่าสุดทางการยืนยันยอดผู้เสียชีวิตทะลุ 330 ศพ ขณะที่นักวิเคราะห์หวั่นเกรงว่าภัยพิบัติครั้งนี้อาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวให้ดำดิ่งลงอีกครั้ง

มหันตภัย 48 ชั่วโมง จากลมพายุสู่โศกนาฏกรรมดินถล่ม
ศูนย์จัดการภัยพิบัติแห่งชาติศรีลังกา (DMC) แถลงด่วนเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ระบุว่าอิทธิพลของพายุไซโคลน (ซึ่งก่อตัวในอ่าวเบงกอล) ได้ทำให้เกิดปริมาณน้ำฝนสะสมสูงกว่า 600 มิลลิเมตรในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตที่ราบสูงตอนกลางและเขตเมืองหลวง
ความเสียหายรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในเขต “คัลูทารา” (Kalutara) และ “รัตนปุระ” (Ratnapura) ซึ่งเกิดเหตุดินโคลนถล่มทับหมู่บ้านหลายแห่งในขณะที่ประชาชนกำลังหลับใหล
- ปฏิบัติการกู้ภัย กองทัพเรือและกองทัพอากาศศรีลังกาได้ระดมกำลังพลกว่า 10,000 นาย เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่สภาพอากาศที่เลวร้ายและเส้นทางคมนาคมที่ถูกตัดขาดทำให้การเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยเป็นไปด้วยความยากลำบาก
- ตัวเลขความสูญเสีย นอกเหนือจากผู้เสียชีวิต 330 ราย ยังมีผู้สูญหายอีกกว่า 200 คน และประชาชนกว่า 500,000 ครัวเรือนต้องไร้ที่อยู่อาศัย
“เราได้ยินเสียงคำรามเหมือนฟ้าร้อง จากนั้นภูเขาทั้งลูกก็ถล่มลงมาทับบ้านของเพื่อนบ้านผม ผมรอดมาได้เพราะวิ่งหนีขึ้นไปบนหลังคาวัด” ชามินดา เปเรรา ผู้รอดชีวิตในเขตรัตนปุระให้สัมภาษณ์ด้วยความตื่นตระหนก
กรุงโคลัมโบเป็นอัมพาต หัวใจทางเศรษฐกิจหยุดเต้น
ภาพถ่ายทางอากาศเผยให้เห็นกรุงโคลัมโบ ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการบริหารประเทศ จมอยู่ใต้น้ำ ถนนสายหลักกลายเป็นคลอง ระบบไฟฟ้าและประปาในหลายเขตถูกตัดขาดเพื่อความปลอดภัย สนามบินนานาชาติบันดารานายาเก ต้องระงับเที่ยวบินชั่วคราวเนื่องจากทัศนวิสัยเลวร้ายและน้ำท่วมขังในรันเวย์บางส่วน
ดร. อาจิท นิวาร์ด คาบราล นักเศรษฐศาสตร์อิสระในโคลัมโบ ให้ทัศนะกับสำนักข่าว Bloomberg ว่า “สิ่งที่น่ากลัวกว่าระดับน้ำ คือผลกระทบทางเศรษฐกิจ ศรีลังกาเพิ่งจะเริ่มโงหัวขึ้นได้จากวิกฤตหนี้สินปี 2022 แต่ น้ำท่วมศรีลังกา ครั้งนี้กำลังทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ห่วงโซ่อุปทาน และที่สำคัญคืออุตสาหกรรมชาและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศ”

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความไม่เป็นธรรมที่ต้องจ่ายด้วยชีวิต
เหตุการณ์นี้ถูกนักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมระบุว่าเป็นสัญญาณเตือนภัยที่ชัดเจนของ “Climate Emergency” อุณหภูมิผิวน้ำในมหาสมุทรอินเดียที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ ได้เพิ่มพลังงานให้กับพายุไซโคลน ทำให้มีความรุนแรงและอุ้มน้ำได้มากขึ้น
องค์กร Climate Action Network (CAN) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ประชาคมโลก โดยเฉพาะประเทศอุตสาหกรรม เร่งให้ความช่วยเหลือผ่านกองทุน “Loss and Damage Fund” โดยระบุว่า “ประชาชนในศรีลังกาที่ปล่อยคาร์บอนน้อยมาก กำลังต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิตและทรัพย์สิน นี่คือความอยุติธรรมทางสภาพภูมิอากาศที่โลกต้องไม่เพิกเฉย”
ความช่วยเหลือจากนานาชาติและท่าทีของไทย
ทันทีที่ข่าวแพร่ออกไป นานาชาติได้เริ่มตอบสนองต่อวิกฤตการณ์นี้
- อินเดีย ส่งเรือรบพร้อมสิ่งของบรรเทาทุกข์และทีมแพทย์เข้าสู่พื้นที่เป็นชาติแรก ภายใต้นโยบาย “Neighbourhood First”
- สหประชาชาติ (UN) ประกาศจัดตั้งกองทุนฉุกเฉินเพื่อจัดหาน้ำสะอาดและอาหารแห้ง ป้องกันการระบาดของโรคอหิวาตกโรคและไข้เลือดออก
ในส่วนของ ประเทศไทย สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคลัมโบ ได้ออกประกาศเตือนคนไทยในพื้นที่ให้ระมัดระวังและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด พร้อมประสานงานกับทางการศรีลังกาเพื่อประเมินความต้องการความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศในยามวิกฤต
บทสรุป เส้นทางฟื้นฟูที่ยาวไกล
แม้พายุจะเริ่มอ่อนกำลังลง แต่ร่องรอยความเสียหายจาก น้ำท่วมศรีลังกา ครั้งนี้จะยังคงอยู่ไปอีกนาน รัฐบาลศรีลังกาไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับภารกิจกู้ภัยและกู้ร่างผู้เสียชีวิต แต่ยังต้องรับมือกับโจทย์หินในการหาเงินทุนมาซ่อมแซมประเทศ ท่ามกลางสถานะทางการคลังที่ยังไม่แข็งแรง
เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องย้ำเตือนว่า ในยุคที่สภาพภูมิอากาศแปรปรวน “ความมั่นคงของชาติ” ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่กำลังทหาร แต่หมายถึงความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่พร้อมจะกวาดล้างทุกความสำเร็จทางเศรษฐกิจให้หายไปในพริบตา
แหล่งที่มาจาก : am2con