“ทรัมป์” เปิดศึกน้ำลาย ตรายุโรป “ดินแดนเสื่อมถอย” ชี้ผู้นำอ่อนแอเกินกว่าจะยุติสงคราม

ทรัมป์วิจารณ์ยุโรป

ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรเก่าแก่อย่างยุโรปกำลังเดินทางมาถึงจุดแตกหักทางความรู้สึกครั้งสำคัญ เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ออกมากล่าวโจมตีเหล่าผู้นำยุโรปอย่างดุเดือดในกรณี ทรัมป์วิจารณ์ยุโรป ล่าสุด โดยระบุว่าทวีปยุโรปกำลังเผชิญภาวะ “เสื่อมถอยทางอารยธรรม” (Civilizational Decay) ภายใต้การนำของผู้นำที่ “อ่อนแอและไร้ความสามารถ” ซึ่งไม่สามารถจัดการกับวิกฤตผู้อพยพหรือหาทางลงให้กับสงครามยูเครนได้ วาทะร้อนแรงนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเปิดเผยเอกสารยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ ที่ส่งสัญญาณว่าวอชิงตันพร้อมจะสนับสนุนกลุ่มการเมืองขั้วใหม่เพื่อ “ปฏิรูป” ยุโรปให้เป็นไปตามทิศทางที่ตนต้องการ

Federal judge throws out Trump's block on wind energy growth | AP News

วาทะกรรม “ยุโรปเสื่อมถอย” การโจมตีที่ไร้เยื่อใย

ในการให้สัมภาษณ์พิเศษกับสื่อใหญ่อย่าง Politico เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ไม่ได้สงวนท่าทีทางการทูตแม้แต่น้อย เขากล่าวถึงพันธมิตรนาโต (NATO) ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงว่า “ผู้นำยุโรปส่วนใหญ่… ผมคิดว่าพวกเขาอ่อนแอ พวกเขาอยากจะเป็นคนดีทางการเมือง (Politically Correct) จนทำให้ประเทศตัวเองพังพินาศ”

ทรัมป์ขยายความคำว่า “ยุโรปเสื่อมถอย” โดยเชื่อมโยงกับปัญหาวิกฤตผู้อพยพและการสูญเสียอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม เขาระบุว่า “หากพวกเขายังดำเนินนโยบายแบบนี้ต่อไป ยุโรปในอีก 10 ปีข้างหน้าจะไม่เหลือเค้าเดิม มันกำลังถูกทำลายจากภายใน และผู้นำพวกนี้ก็ ‘โง่เขลา’ เกินกว่าจะมองเห็นความจริง” คำพูดเหล่านี้สร้างความตกตะลึงไปทั่วกรุงบรัสเซลส์ และถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในที่โจ่งแจ้งที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์สองซีกโลก

ปม “สงครามยูเครน” เมื่อสหรัฐฯ หมดความอดทน

ประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดหนีไม่พ้น สงครามยูเครนล่าสุด ทรัมป์แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนต่อความยืดเยื้อของความขัดแย้ง โดยพุ่งเป้าวิจารณ์กระบวนการทูตของยุโรปว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

“พวกเขาเอาแต่พูด ประชุม แล้วก็พูด แต่ไม่มีผลลัพธ์อะไรออกมา สงครามก็ยังดำเนินต่อไปไม่จบสิ้น” ทรัมป์กล่าว พร้อมทั้งกดดันไปยังโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน และพันธมิตรยุโรป ให้ยอมรับความเป็นจริงทางยุทธศาสตร์ว่ารัสเซียกำลังถือไพ่เหนือกว่า คำวิจารณ์นี้สะท้อนจุดยืนของทรัมป์ที่ต้องการ “บีบ” ให้เกิดการเจรจาสันติภาพโดยเร็ว แม้จะต้องแลกด้วยการเสียดินแดนบางส่วน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำยุโรปกระแสหลักยังคงคัดค้านหัวชนฝา

Trump Signs A.I. Executive Order

สัญญาณอันตรายจาก “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงใหม่”

สิ่งที่น่ากังวลกว่าคำพูด คือการกระทำที่เป็นลายลักษณ์อักษร นักวิเคราะห์จับตามองเอกสาร ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ (NSS) ปี 2025 ที่เพิ่งมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน เอกสารระบุชัดเจนว่าสหรัฐฯ อาจพิจารณา “สร้างแรงต้านทาน” (Cultivate Resistance) ภายในชาติยุโรปที่ไม่ดำเนินนโยบายสอดคล้องกับวอชิงตัน

ดร. อันดี ซูริยันโต นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงระบุว่า “นี่ไม่ใช่แค่การบ่นของทรัมป์ แต่มันคือนโยบาย ‘Regime Change’ ในรูปแบบที่นุ่มนวลกว่า สหรัฐฯ กำลังบอกว่าถ้าผู้นำยุโรปชุดปัจจุบันไม่เปลี่ยนนโยบาย สหรัฐฯ ก็พร้อมจะสนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายขวาหรือกลุ่มชาตินิยมในยุโรปให้ขึ้นมามีอำนาจแทน”

ปฏิกิริยาเดือดจากยุโรป “เราจะไม่ยอมรับการแทรกแซง”

ทันทีที่ข่าวแพร่ออกไป อันโตนิโอ คอสตา (António Costa) ประธานคณะมนตรียุโรป (European Council President) ได้ออกมาตอบโต้ทันควัน โดยเตือนว่า “พันธมิตรที่ดีย่อมไม่ข่มขู่หรือแทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน ยุโรปมีอำนาจอธิปไตยของตนเอง และเราจะไม่ยอมให้ใครมากำหนดทิศทางอนาคตของเรา”

ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวทางการทูตในกรุงเบอร์ลินและปารีสต่างแสดงความกังวลว่า ท่าทีของทรัมป์อาจทำให้ความสามัคคีของตะวันตก (Western Unity) พังทลายลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ที่สุดต่อรัสเซียและจีน “การที่ผู้นำสหรัฐฯ เรียกพันธมิตรว่า ‘เสื่อมถอย’ ต่อหน้าประชาคมโลก คือของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดที่ปูตินจะได้รับ” นักการทูตระดับสูงรายหนึ่งกล่าว

Live - EU leaders' summit ends with Orbán vetoing conclusions on Ukraine |  Euronews

บทสรุป ทางแพร่งของยุโรป ในวันที่พี่ใหญ่กลายเป็นคนแปลกหน้า

เหตุการณ์ ทรัมป์วิจารณ์ยุโรป ครั้งนี้ เป็นมากกว่าวิวาทะทางการเมือง แต่มันคือสัญญาณเตือนว่ายุคสมัยที่ยุโรปสามารถพึ่งพาสหรัฐฯ ในฐานะร่มเงาความมั่นคงได้สิ้นสุดลงแล้ว ยุโรปกำลังถูกบีบให้ต้องเลือกระหว่างการยอมจำนนต่อนโยบายของทรัมป์เพื่อรักษาสัมพันธ์ หรือการเร่งสร้าง “เอกราชทางยุทธศาสตร์” (Strategic Autonomy) ของตนเองอย่างจริงจัง ท่ามกลางสงครามที่ยังคุกรุ่นอยู่หน้าบ้าน

คำถามสำคัญคือ ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่เปราะบางและความแตกแยกภายใน ยุโรปจะเข้มแข็งพอที่จะยืนหยัดด้วยขาตัวเองได้หรือไม่ ในวันที่มหามิตรข้ามแอตแลนติกมองพวกเขาเป็นเพียง “ดินแดนที่กำลังเสื่อมถอย”

แหล่งที่มาจาก : am2con