กัมพูชา ฝากทองในจีน เดิมพันภูมิรัฐศาสตร์ครั้งใหญ่ สัญญาณ De-dollarization และการท้าทายระบบการเงินตะวันตก

กัมพูชา ฝากทองในจีน

พนมเปญ/ปักกิ่ง – การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ของ ธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (National Bank of Cambodia – NBC) ที่ประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ (ประมาณวันที่ 12 พฤศจิกายน 2025) ในการโยกย้ายและฝากสินทรัพย์ทองคำสำรองของประเทศส่วนหนึ่งไว้ในประเทศจีน ถือเป็นมากกว่าธุรกรรมทางการเงินเพื่อการกระจายความเสี่ยง นี่คือการส่งสัญญาณเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ดังและชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปีจากชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สะท้อนถึงการเร่งตัวของแนวโน้ม “De-dollarization” (การลดการพึ่งพาดอลลาร์) และการสั่นคลอนเสถียรภาพของระบบการเงินที่นำโดยตะวันตก

การเคลื่อนไหวของกัมพูชาครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการ ลดการพึ่งพาตะวันตก ในการจัดเก็บสินทรัพย์อันมีค่า ซึ่งตามธรรมเนียมปฏิบัติจะถูกเก็บไว้ในศูนย์กลางอย่างลอนดอนหรือนิวยอร์ก แต่ยังเป็นการสนับสนุนความทะเยอทะยานของจีนในการผลักดันตัวเองขึ้นเป็น ศูนย์กลางทองคำโลก (Global Gold Hub) แห่งใหม่อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านกลไกตลาดทองคำเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Gold Exchange – SGE)

บทความนี้จะวิเคราะห์เชิงลึกว่า เหตุใดการตัดสินใจของชาติเศรษฐกิจขนาดเล็กอย่างกัมพูชา จึงมีความสำคัญในระดับมหภาค, อะไรคือแรงจูงใจที่แท้จริงเบื้องหลังการเดิมพันครั้งนี้, และการเคลื่อนไหวนี้จะส่งแรงกระเพื่อมต่อดุลอำนาจทางการเงินระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในภูมิภาคอาเซียนอย่างไร

Cambodia to store gold in China, boosting Beijing's bid to build global  bullion hub: sources - The Business Times

จุดเริ่มต้น การประกาศของ NBC และ ‘อธิปไตยทางการเงิน’

การเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญนี้ถูกเปิดเผยโดย นางเจีย จินโต (Chea Serey) ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติกัมพูชา (NBC) ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะนักปฏิรูปการเงินรุ่นใหม่ของประเทศ แหล่งข่าวหลายแห่งรวมถึงสื่อท้องถิ่นและรายงานจาก Nikkei Asia ยืนยันว่า NBC ได้เริ่มกระบวนการกระจายการถือครองทองคำสำรองแล้ว

“การกระจายทุนสำรองระหว่างประเทศ รวมถึงทองคำ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การบริหารความเสี่ยงของเรา… เพื่อเสริมสร้างอธิปไตยทางการเงิน (Monetary Sovereignty) และความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ” ถ้อยแถลงของ NBC ระบุ

แม้ว่า NBC จะไม่ได้เปิดเผยตัวเลขที่ชัดเจนว่ามีการโยกย้ายทองคำไปยังจีนเป็นจำนวนกี่ตัน แต่ “นัย” ของการกระทำนั้นสำคัญกว่า “ปริมาณ”

ตามธรรมเนียมปฏิบัติของธนาคารกลางทั่วโลก ทองคำสำรองมักถูกเก็บไว้ในสถานที่ที่ได้รับการยอมรับว่ามีสภาพคล่องและความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งได้แก่

  • ธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England) ในลอนดอน
  • ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) สาขานิวยอร์ก
  • และส่วนน้อยที่เก็บไว้ในประเทศของตนเอง

การที่กัมพูชาเลือก “จีน” เป็นสถานที่จัดเก็บแห่งใหม่ ถือเป็นการฉีกขนบธรรมเนียมเดิมอย่างสิ้นเชิง และเป็นการตั้งคำถามโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของศูนย์กลางการเงินตะวันตก

แรงขับเคลื่อนที่แท้จริง ‘De-dollarization’ และบทเรียนจากมาตรการคว่ำบาตร

ทำไมกัมพูชาถึงเก็บทองไว้ที่จีน? คำตอบที่ชัดเจนที่สุดซ่อนอยู่ในบริบทภูมิรัฐศาสตร์โลกร่วมสมัย นั่นคือ “การลดการพึ่งพาดอลลาร์” หรือ De-dollarization

การที่สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกใช้ระบบการเงินดอลลาร์เป็น “อาวุธ” (Weaponization of the Dollar) โดยเฉพาะการอายัดทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียมูลค่ากว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2022 หลังการรุกรานยูเครน ได้กลายเป็น “สัญญาณเตือนภัย” ที่ดังกึกก้องไปทั่วโลก

ดร. อเลสซานโดร สปอตติ นักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยการเมืองระหว่างประเทศ (ISPI) ในมิลาน ให้ทัศนะกับ Al Jazeera ว่า “เหตุการณ์รัสเซียได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ทุนสำรองที่เก็บไว้ในสถาบันการเงินตะวันตกไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป โดยเฉพาะสำหรับประเทศที่อาจมีความเห็นขัดแย้งกับนโยบายของสหรัฐฯ”

สำหรับกัมพูชา ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปมาโดยตลอดในประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย การพึ่งพาการจัดเก็บสินทรัพย์ในตะวันตกจึงมีความเสี่ยงแฝง

“การย้ายทองคำไปยังจีน คือการซื้อ ‘กรมธรรม์ประกันภัย’ ทางการเมือง” นักวิเคราะห์อาวุโสจากสถาบัน S. Rajaratnam School of International Studies (RSIS) ในสิงคโปร์ กล่าว “มันคือการส่งสัญญาณไปยังวอชิงตันและบรัสเซลส์ว่า พนมเปญมีทางเลือกอื่น และจะไม่ยอมถูกกดดันทางการเงิน”

การเคลื่อนไหวนี้จึงไม่ใช่แค่การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ แต่คือการ “กระจายความเสี่ยงทางการเมือง” (Political Risk Diversification) อย่างชัดเจน

Cambodia to Store Gold in China: China Makes Initial Progress... - United  Daily News

จีนพร้อมรับบท ความทะเยอทะยานสู่ ‘ศูนย์กลางทองคำโลก’

การตัดสินใจของกัมพูชาเกิดขึ้นในจังหวะที่จีนกำลังเร่งเครื่องยุทธศาสตร์การเป็น ศูนย์กลางทองคำโลก อย่างเต็มกำลัง เพื่อท้าทายการผูกขาดของลอนดอนและนิวยอร์ก (ขั้ว LBMA/COMEX)

จีนดำเนินการเรื่องนี้ผ่านสองกลไกหลัก

  1. การซื้อสุทธิอย่างบ้าคลั่ง (Aggressive Buying) ธนาคารประชาชนจีน (PBOC) ถือเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ที่สุดในกลุ่มธนาคารกลางทั่วโลกตลอด 24 เดือนที่ผ่านมา (ข้อมูลล่าสุดปลายปี 2025) การสะสมทองคำจำนวนมหาศาลนี้มีจุดประสงค์เพื่อค้ำประกันเสถียรภาพของค่าเงินหยวน (RMB)
  2. การสร้างระบบนิเวศทางเลือก (Building an Alternative Ecosystem) นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุด จีนไม่ได้แค่ “ซื้อ” แต่กำลัง “สร้าง” ตลาดของตัวเอง นั่นคือ Shanghai Gold Exchange (SGE)

SGE ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกของตลาดลอนดอน (LBMA) โดยมีความแตกต่างสำคัญคือ

  • การตั้งราคา SGE มีกลไกการตั้งราคา “Shanghai Gold Benchmark” ซึ่งซื้อขายเป็นเงินหยวน ในขณะที่ LBMA ตั้งราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐ
  • การส่งมอบจริง SGE เน้นการซื้อขายที่อิงกับการส่งมอบทองคำจริง (Physical Delivery) มากกว่าการซื้อขายสัญญาอนุพันธ์บนกระดาษแบบ COMEX

การที่ กัมพูชา ฝากทองในจีน (Focus Keyword) จึงเปรียบเสมือนการที่ธนาคารกลางต่างชาติ “ประทับตรารับรอง” (Stamp of Approval) ให้กับห้องนิรภัยและระบบของ SGE ว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงพอในระดับสากล นี่คือชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ที่จีนต้องการอย่างยิ่ง

“จีนกำลังพยายามสร้างระเบียบการเงินคู่ขนาน” นักวิเคราะห์จาก Bloomberg กล่าว “หากจีนต้องการให้เงินหยวนเป็นที่ยอมรับในระดับโลก จีนจำเป็นต้องมีตลาดสินทรัพย์ที่ปลอดภัย (Safe Haven Asset) ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างทองคำ มาเป็นหลักประกัน และตลาดนั้นต้องตั้งอยู่ในแผ่นดินจีน”

ภูมิทัศน์ใหม่ของอาเซียน เมื่อการเงินและการเมืองหลอมรวม

การเคลื่อนไหวของกัมพูชาครั้งนี้ ส่งแรงสั่นสะเทือนโดยตรงต่อภูมิทัศน์ของอาเซียน ซึ่งพยายามวางตัวเป็นกลางท่ามกลางการแข่งขันระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

กัมพูชาภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ได้สานต่อนโยบาย “เพื่อนเหล็ก” (Ironclad Friend) กับจีนอย่างแนบแน่น การพึ่งพาจีนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Belt and Road Initiative – BRI) หรือการสนับสนุนทางการทหาร (เช่น ฐานทัพเรือเรียม) อีกต่อไป แต่ได้ขยายลึกไปถึง “แก่น” ของความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นั่นคือ ทุนสำรองระหว่างประเทศ

  • มุมมองเสริมต่อไทยและภูมิภาค ประเทศอื่นๆ ในอาเซียน โดยเฉพาะไทยและเวียดนาม ซึ่งถือครองทองคำสำรองจำนวนมาก ต่างกำลังจับตามองสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด
  • คำถามสำคัญ ประเทศเหล่านี้จะเริ่มกระจายความเสี่ยงการจัดเก็บทองคำไปยัง “ขั้วที่สาม” อย่างจีนหรือไม่?
  • แรงกดดัน การตัดสินใจของกัมพูชาสร้างบรรทัดฐานใหม่ และอาจสร้างแรงกดดันให้ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคต้อง “เลือกข้าง” หรืออย่างน้อยก็ต้องเริ่มพิจารณาทางเลือกอื่นนอกเหนือจากตะวันตก

Cambodia to store gold in China, boosting Beijing's bid to build global  bullion hub: sources - The Business Times

ความเสี่ยงและข้อโต้แย้ง การเดิมพันของกัมพูชาคุ้มค่าหรือไม่?

แน่นอนว่า การตัดสินใจของกัมพูชามีความเสี่ยงและถูกตั้งคำถามจากนักวิเคราะห์สายอนุรักษ์นิยม เพื่อความเป็นกลาง เราต้องพิจารณาข้อโต้แย้งดังต่อไปนี้

  1. ปัญหาสภาพคล่อง (Liquidity Concern) ตลาดทองคำลอนดอน (LBMA) ยังคงเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก การซื้อขายเกิดขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง และได้รับการยอมรับทั่วโลก นักวิเคราะห์จาก The Economist ตั้งข้อสังเกตว่า “ทองคำที่เก็บในเซี่ยงไฮ้อาจมีสภาพคล่องต่ำกว่า และอาจถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบของทางการจีน หากเกิดวิกฤต การเปลี่ยนทองคำใน SGE ให้เป็นเงินดอลลาร์อาจไม่ง่ายเท่าการทำในลอนดอน”
  2. การเปลี่ยนตัวประกัน (Swapping Dependencies) นักวิจารณ์แย้งว่า นี่ไม่ใช่การ ลดการพึ่งพา อย่างแท้จริง แต่เป็น “การเปลี่ยนนาย” (Swapping Masters) จากการพึ่งพาระบบตะวันตก ไปสู่การพึ่งพาระบบของจีนแทน

“กัมพูชากำลังย้ายไข่จากตะกร้าหนึ่งที่พวกเขาไม่ไว้วางใจ (ตะวันตก) ไปยังอีกตะกร้าหนึ่งที่พวกเขาผูกพันทางการเมืองอย่างลึกซึ้ง (จีน) นี่คือการเดิมพันว่าอนาคตทางการเมืองของพวกเขากับจีนจะมั่นคงตลอดไป ซึ่งเป็นความเสี่ยงในตัวมันเอง” ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้ความเห็น

  1. นัยเชิงสัญลักษณ์ หรือ นัยทางเศรษฐกิจ? เนื่องจากขนาดเศรษฐกิจและปริมาณทองคำสำรองของกัมพูชา (ซึ่งคาดว่ามีไม่มากนักเมื่อเทียบกับผู้เล่นระดับโลก) การเคลื่อนไหวนี้จึงอาจส่งผลกระทบเชิง “สัญลักษณ์” และ “การเมือง” มากกว่าที่จะสั่นคลอน ผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์ (Long-tail Keyword) อย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม สัญลักษณ์ในโลกภูมิรัฐศาสตร์นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง

บทสรุป ระเบียบโลกใหม่ และสงครามทองคำที่เพิ่งเริ่มต้น

การตัดสินใจของ กัมพูชา ฝากทองในจีน อาจถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเงิน ว่าเป็นมากกว่าเชิงอรรถเล็กๆ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของ “การแยกส่วน” (Decoupling) ของระบบทุนสำรองโลกอย่างแท้จริง

มันไม่ใช่แค่การที่ธนาคารกลางซื้อทองคำเพิ่มขึ้น แต่คือการที่พวกเขาเริ่มตั้งคำถามพื้นฐานว่า “ควรเก็บทองคำไว้ที่ไหน?”

เหตุการณ์นี้ตอกย้ำว่า

  1. ความเชื่อมั่นกำลังสั่นคลอน ความไว้วางใจต่อสถาบันการเงินตะวันตกในฐานะ “ผู้ดูแลที่เป็นกลาง” (Neutral Custodian) ได้พังทลายลงแล้วในสายตาของหลายประเทศ
  2. จีนคือทางเลือกที่จริงจัง จีนไม่ได้เป็นเพียงผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ แต่กำลังกลายเป็น “ห้องนิรภัย” (Vault) ทางเลือกสำหรับธนาคารกลางอื่นๆ ที่ต้องการหลีกหนีจากอิทธิพลของดอลลาร์
  3. การแข่งขันเริ่มต้นแล้ว สงครามเพื่อแย่งชิงการเป็น ศูนย์กลางทองคำโลก ระหว่างลอนดอน/นิวยอร์ก และ เซี่ยงไฮ้ ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

จีนกำลังสร้างมาตรฐานทองคำใหม่หรือไม่? (Long-tail Keyword) อาจจะยังไม่ใช่ในเร็ววันนี้ แต่จีนกำลังสร้าง “มาตรฐานการชำระดุลด้วยทองคำที่ไม่อิงดอลลาร์” (Non-Dollar Gold Settlement Standard) ซึ่งการเคลื่อนไหวของกัมพูชาในครั้งนี้ คืออิฐก้อนแรกที่สำคัญที่สุดในการก่อสร้างระบบนิเวศใหม่นี้

แหล่งที่มาจาก : am2con