ฟิลิปปินส์อ่วม ไต้ฝุ่น คัลแมกี พัดถล่ม ยอดดับพุ่ง 52 ศพ ท่ามกลางวิกฤตมนุษยธรรมและเสียงเรียกร้องความช่วยเหลือ

ไต้ฝุ่น คัลแมกี

ประเทศฟิลิปปินส์กำลังเผชิญกับโศกนาฏกรรมด้านมนุษยธรรมครั้งใหญ่อีกครั้ง หลังการพัดถล่มของ ไต้ฝุ่น “คัลแมกี” (Typhoon “Kalmaegi”) ซึ่งมีชื่อเรียกท้องถิ่นว่า ‘ราโมน’ (Ramon) ที่เคลื่อนตัวเข้าทำลายล้างพื้นที่ตอนเหนือของ เกาะลูซอน อย่างรุนแรงในช่วง 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา ล่าสุด รัฐบาลฟิลิปปินส์ผ่าน สภาการจัดการและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งชาติ (NDRRMC) ได้ออกมายืนยันตัวเลข ฟิลิปปินส์ ยอดผู้เสียชีวิต อย่างเป็นทางการแล้วอย่างน้อย 52 ศพ โดยส่วนใหญ่เกิดจากเหตุดินถล่มและน้ำท่วมฉับพลัน

สถานการณ์ในปัจจุบันยังคงวิกฤต โดยมียอดผู้พลัดถิ่นเกือบครึ่งล้านคน และความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานและพื้นที่เกษตรกรรมคาดว่าจะสูงถึงหลายพันล้านเปโซ เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่เปิดเผยรอยแผลจากภัยพิบัติ แต่ยังจุดชนวนคำถามเร่งด่วนเกี่ยวกับความพร้อมในการรับมือและความจำเป็นในการ ความช่วยเหลือฟิลิปปินส์ ไต้ฝุ่น จากนานาชาติ

Typhoon Kalmaegi Leaves 66 Dead, Mainly in Central Philippine

สถานการณ์ล่าสุด “คัลแมกี” ทิ้งรอยแผลลึก กู้ภัยเร่งแข่งกับเวลา

ไต้ฝุ่น คัลแมกี ล่าสุด ได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนเข้าปะทะชายฝั่งจังหวัดคากายัน (Cagayan) ในฐานะพายุไต้ฝุ่นรุนแรง (เทียบเท่าระดับ 3) ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องและลมกระโชกแรงมหาศาล

สำนักงานบริหารบรรยากาศ ธรณีฟิสิกส์ และดาราศาสตร์แห่งฟิลิปปินส์ (PAGASA) รายงานว่า ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในบางพื้นที่นั้นเทียบเท่ากับปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยทั้งเดือนที่ตกลงมาภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง ส่งผลให้แม่น้ำสายหลักหลายสายล้นตลิ่ง และมวลน้ำป่าได้ไหลทะลักลงมาจากพื้นที่ภูเขา

พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด คือ ภูมิภาคบริหารคอร์ดิลเลรา (CAR) และหุบเขาคากายัน (Cagayan Valley) ซึ่งเป็นพื้นที่ภูเขาสูงและเสี่ยงต่อดินถล่ม รายงานจาก NDRRMC ระบุว่า ยอดผู้เสียชีวิต 52 ราย ส่วนใหญ่พบในจังหวัดเบงเก็ต (Benguet) และจังหวัดเมาน์เทน (Mountain Province) ซึ่งเกิดเหตุดินโคลนถล่มทับบ้านเรือนของประชาชนในขณะที่พวกเขากำลังหลับนอน

“นี่คือฝันร้ายที่เกิดขึ้นจริง” นายเอ็ดการ์โด ครูซ ผู้ประสานงานกู้ภัยท้องถิ่นในเบงเก็ต กล่าวกับสำนักข่าวเอพี (AP) “เรากำลังขุดค้นทั้งวันทั้งคืน แต่ดินที่ชุ่มน้ำและถนนที่ถูกตัดขาดทำให้การเข้าถึงผู้รอดชีวิตเป็นไปอย่างยากลำบากอย่างยิ่ง เราแข่งกับเวลาและกำลังใจที่เหลือน้อยเต็มที”

ณ เวลาที่รายงานนี้ ยังมีผู้สูญหายอีกกว่า 30 ราย ทำให้เกิดความหวั่นเกรงว่ายอดผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มสูงขึ้นอีก

วิกฤตมนุษยธรรม เสียงเรียกร้องจากผู้พลัดถิ่นกว่า 5 แสนคน

ขณะที่ปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยยังคงดำเนินต่อไป วิกฤตมนุษยธรรมครั้งใหม่ก็ได้ก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจน NDRRMC ยืนยันว่ามีประชาชนกว่า 500,000 คนที่ต้อง อพยพประชาชน ออกจากที่อยู่อาศัย โดยในจำนวนนี้กว่า 120,000 คน ต้องอาศัยอยู่ตามศูนย์พักพิงชั่วคราวที่แออัด เช่น โรงเรียนและโรงยิมของรัฐ

สภาพความเป็นอยู่ในศูนย์อพยพ รายงานจากสภากาชาดฟิลิปปินส์ (Philippine Red Cross) ชี้ให้เห็นถึงความต้องการเร่งด่วนในหลายด้าน

  • น้ำดื่มและอาหาร แหล่งน้ำสะอาดถูกปนเปื้อนอย่างหนัก และเสบียงอาหารเริ่มขาดแคลน
  • ยารักษาโรค มีความเสี่ยงสูงต่อการระบาดของโรคที่มากับน้ำ เช่น โรคฉี่หนูและอหิวาตกโรค
  • สุขอนามัย ห้องน้ำไม่เพียงพอ และขาดแคลนสิ่งของจำเป็นสำหรับสตรีและเด็กเล็ก

“เราหนีออกมาได้แต่ตัวกับเสื้อผ้าที่สวมใส่” นางมาเรีย ซานโตส วัย 45 ปี ผู้รอดชีวิตจากเมืองอิลากัน (Ilagan City) ที่สูญเสียบ้านทั้งหลังไปกับกระแสน้ำ กล่าว “ตอนนี้เราไม่เหลืออะไรเลย เราต้องการน้ำสะอาดให้ลูกๆ ของเราดื่ม”

รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ระดมกำลังทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์ แต่ความท้าทายด้านโลจิสติกส์ยังมีอยู่มหาศาล เนื่องจากสะพานหลายแห่งถูกตัดขาด และถนนสายหลักหลายสายยังคงจมอยู่ใต้น้ำหรือถูกกีดขวางด้วยดินถล่ม

At least 85 dead and dozens missing as Typhoon Kalmaegi hits central  Philippines | Africanews

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ “อู่ข้าวอู่น้ำ” ของชาติจมบาดาล

นอกเหนือจากโศกนาฏกรรมด้านชีวิตมนุษย์ ไต้ฝุ่น คัลแมกี ความเสียหาย ทางเศรษฐกิจที่ประเมินในเบื้องต้นนั้นนับว่ารุนแรงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในภาคการเกษตร

เกาะลูซอน ตอนเหนือ ซึ่งถูกพายุพัดถล่มโดยตรง ถือเป็นหนึ่งใน “อู่ข้าวอู่น้ำ” ที่สำคัญที่สุดของประเทศ กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ประเมินความเสียหายเบื้องต้นต่อพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะข้าวและข้าวโพดที่ใกล้ถึงเวลาเก็บเกี่ยว ว่าอาจสูงถึง 4 พันล้านเปโซ (ประมาณ 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

“พายุมาในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด” โฆษกกระทรวงเกษตรกล่าว “ผลผลิตข้าวกว่า 100,000 เฮกตาร์ ถูกทำลายทั้งหมด นี่จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศในไตรมาสหน้าอย่างแน่นอน”

ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและห่วงโซ่อุปทาน ความเสียหายไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาคเกษตร

  • โครงสร้างพื้นฐาน ถนน สะพาน และระบบส่งไฟฟ้าได้รับความเสียหายหนัก ประชาชนหลายล้านคนยังคงไม่มีไฟฟ้าใช้
  • ห่วงโซ่อุปทาน แม้ว่าศูนย์กลางการผลิตอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมหนักทางตอนใต้ของลูซอนจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่การตัดขาดของเครือข่ายโลจิสติกส์ทางตอนเหนือก็อาจส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าและการดำเนินงานในภาพรวม

นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) เตือนว่า ภัยพิบัติฟิลิปปินส์ ครั้งนี้ อาจฉุดรั้งการเติบโตของ GDP ในไตรมาสสุดท้ายของปี และเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากราคาอาหารที่สูงขึ้น

“วงจรภัยพิบัติ” ที่เปราะบาง ฟิลิปปินส์กับการรับมือพายุที่รุนแรงขึ้น

ฟิลิปปินส์ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับ พายุไต้ฝุ่น คัลแมกี หรือพายุลูกอื่นๆ ประเทศนี้ตั้งอยู่ใน “วงแหวนแห่งไฟ” และ “แถบไต้ฝุ่น” แปซิฟิก ทำให้ต้องเผชิญกับพายุโดยเฉลี่ย 20 ลูกต่อปี แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ พายุที่เกิดขึ้นในช่วงหลังมานี้มีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพภูมิอากาศจากมหาวิทยาลัยแห่งฟิลิปปินส์ (University of the Philippines) ชี้ว่า อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก เป็น “เชื้อเพลิง” ชั้นดีที่ทำให้พายุสามารถทวีความรุนแรงได้อย่างรวดเร็ว (Rapid Intensification) ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับไต้ฝุ่น “คัลแมกี”

แม้ว่าฟิลิปปินส์จะมีความก้าวหน้าอย่างมากในระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning Systems) และการอพยพเชิงป้องกัน (Pre-emptive Evacuation) นับตั้งแต่โศกนาฏกรรมจากไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน (Yolanda) ในปี 2013 แต่ “คัลแมกี” ได้เผยให้เห็นช่องโหว่ที่สำคัญ

“ระบบเตือนภัยของเราช่วยชีวิตคนได้มากมายจากการจมน้ำตายบริเวณชายฝั่ง” ดร. เรนาโต โซลิดัม (Renato Solidum Jr.) จากสถาบันภูเขาไฟวิทยาและแผ่นดินไหววิทยาฟิลิปปินส์ (PHIVOLCS) ซึ่งทำงานร่วมกับ PAGASA กล่าว “แต่ความท้าทายใหม่คือ ‘อันตรายทุติยภูมิ’ (Secondary Hazards) เช่น ดินถล่มในพื้นที่ภูเขา ซึ่งคาดเดาได้ยากกว่าและอันตรายถึงชีวิต”

การยืนยันผู้เสียชีวิต 52 ศพจากดินถล่มครั้งนี้ ตอกย้ำว่าการวางผังเมืองและการบังคับใช้กฎหมายห้ามก่อสร้างในพื้นที่เสี่ยง (No-build Zones) ยังคงเป็นความท้าทายที่รัฐบาลต้องแก้ไขอย่างจริงจัง

Typhoon Kalmaegi ravages Philippines as toll climbs

การตอบสนองจากนานาชาติ อาเซียนและประชาคมโลกเริ่มเคลื่อนไหว

สถานการณ์ไต้ฝุ่นฟิลิปปินส์ล่าสุด ได้กระตุ้นให้เกิดการตอบสนองจากประชาคมระหว่างประเทศ ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ได้ประกาศ “ภาวะภัยพิบัติ” (State of Calamity) ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณฉุกเฉิน และได้ส่งสัญญาณร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติ

  • สหประชาชาติ (UN) สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (UN OCHA) กำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลฟิลิปปินส์เพื่อประเมินความต้องการ และได้จัดสรรเงินจากกองทุนฉุกเฉินกลาง (CERF) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานเบื้องต้น
  • สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจ และระบุว่ากำลังเตรียมความพร้อมในการสนับสนุนทั้งด้านการเงินและสิ่งของบรรเทาทุกข์
  • อาเซียน (ASEAN) ในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (AHA Centre) ได้เริ่มเคลื่อนย้ายสิ่งของบรรเทาทุกข์จากคลังสินค้าในภูมิภาคมายังฟิลิปปินส์แล้ว

สำหรับประเทศไทย รัฐบาลไทยได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อรัฐบาลและประชาชนชาวฟิลิปปินส์ และกำลังพิจารณาให้ความช่วยเหลือผ่านช่องทางทวิภาคีและผ่านกรอบอาเซียน

บทสรุปและแนวโน้ม การฟื้นฟูบนเส้นทางพายุ

ไต้ฝุ่นถล่มฟิลิปปินส์ ในครั้งนี้ โดยเฉพาะ “คัลแมกี” ที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 52 ราย เป็นเครื่องย้ำเตือนอันเจ็บปวดถึงความท้าทายที่ประเทศหมู่เกาะแห่งนี้ต้องเผชิญ

ในระยะสั้น ภารกิจเร่งด่วนคือการค้นหาผู้สูญหาย การช่วยเหลือผู้รอดชีวิตกว่าครึ่งล้านคน และการฟื้นฟูบริการขั้นพื้นฐานอย่างเร่งด่วนที่สุด

ในระยะยาว โศกนาฏกรรมครั้งนี้เรียกร้องให้มีการลงทุนอย่างจริงจังในการสร้าง “ความยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศ” (Climate Resilience) ไม่ใช่แค่ระบบเตือนภัย แต่รวมถึงการย้ายถิ่นฐานชุมชนที่เปราะบาง การฟื้นฟูป่าไม้เพื่อป้องกันดินถล่ม และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานให้ทนทานต่อพายุที่รุนแรงขึ้นในอนาคต

ขณะที่ ไต้ฝุ่น คัลแมกี เส้นทางพายุ ได้เคลื่อนตัวออกจากฟิลิปปินส์มุ่งหน้าสู่ทะเลจีนใต้แล้ว แต่บาดแผลที่มันทิ้งไว้ ทั้งต่อชีวิตมนุษย์และเศรษฐกิจของประเทศ จะยังคงต้องใช้เวลาอีกนานหลายปีกว่าที่จะฟื้นฟูให้กลับมาดังเดิมได้

แหล่งที่มาจาก : am2con