[โคลัมโบ/อนุราธปุระ] – ท้องฟ้าเหนือกรุงโคลัมโบและพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะศรีลังกายังคงมืดมิดในเช้าวันที่ 1 ธันวาคม 2025 เสียงไซเรนรถพยาบาลและเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยดังระงมแข่งกับเสียงฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา สถานการณ์อุทกภัยครั้งล่าสุดที่เกิดจากอิทธิพลของพายุดีเปรสชันในอ่าวเบงกอล ได้ยกระดับกลายเป็นภัยพิบัติระดับชาติ ล่าสุดศูนย์จัดการภัยพิบัติ (DMC) ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 31 ราย และประชาชนอีกนับแสนต้องเผชิญชะตากรรมที่ยากลำบาก ท่ามกลางความกังวลว่า “น้ำท่วม” ครั้งนี้ อาจพัดพาเอา “ความหวังทางเศรษฐกิจ” ของประเทศให้จมหายไปกับสายน้ำ
72 ชั่วโมงแห่งหายนะ จากพายุฝนสู่ดินถล่มมรณะ
ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักติดต่อกันเกินกว่า 400 มิลลิเมตรในบางพื้นที่ตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนสภาพภูมิประเทศอันงดงามของศรีลังกาให้กลายเป็นพื้นที่ประสบภัย โดยเฉพาะในเขต “แบดุลลา” (Badulla) และพื้นที่ภูเขาตอนกลาง ซึ่งเผชิญกับเหตุการณ์ดินถล่มที่รุนแรงที่สุด
โศกนาฏกรรมใต้โคลนตม รายงานระบุว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มาจากเหตุดินถล่มที่เกิดขึ้นในยามวิกาล ขณะที่ชาวบ้านกำลังนอนหลับ บ้านเรือนหลายหลังถูกดินโคลนจากภูเขาไหลลงมาทับถมจนมิดหลังคา “เราได้ยินเสียงเหมือนฟ้าร้อง จากนั้นต้นไม้และดินก็ไหลลงมากลบบ้านของเพื่อนบ้านไปต่อหน้าต่อตา” ประจักษ์พยานในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตปูตตาลัม (Puttalam) กล่าวทั้งน้ำตา “เราเพิ่งจะเริ่มลืมตาอ้าปากได้จากวิกฤตเศรษฐกิจปีก่อนๆ แต่ตอนนี้เราไม่เหลืออะไรเลย”
ปฏิบัติการกู้ภัยท่ามกลางอุปสรรค กองทัพศรีลังกาและหน่วยปฏิบัติการพิเศษทางน้ำ ได้ระดมกำลังกว่า 5,000 นาย พร้อมเรือท้องแบนและเฮลิคอปเตอร์ เข้าสู่พื้นที่ประสบภัยเพื่ออพยพประชาชนกว่า 12,000 คน ไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว แต่ภารกิจเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากถนนสายหลักหลายสายถูกตัดขาดจากน้ำท่วมและดินสไลด์ ทำให้การส่งเสบียงอาหารและยาเวชภัณฑ์เข้าสู่พื้นที่ห่างไกลต้องหยุดชะงัก
นัยยะทางเศรษฐกิจ เมื่อ “อู่ข้าวอู่น้ำ” จมบาดาล
สิ่งที่ทำให้นักวิเคราะห์ทั่วโลกจับตามองสถานการณ์ น้ำท่วมศรีลังกา 2568 อย่างใกล้ชิด ไม่ใช่เพียงความสูญเสียทางชีวิต แต่คือผลกระทบระยะยาวที่จะมีต่อเศรษฐกิจของประเทศที่เพิ่งจะ “ถอดเครื่องช่วยหายใจ”
ศรีลังกาเพิ่งผ่านพ้นวิกฤตการเงินครั้งประวัติศาสตร์เมื่อปี 2022 และเริ่มกลับมามีเสถียรภาพภายใต้แผนฟื้นฟูของ IMF แต่ภัยพิบัติครั้งนี้กำลังโจมตีจุดตายสำคัญ 2 จุด
- ความมั่นคงทางอาหารและเงินเฟ้อ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือ ภาคเหนือตอนกลางและภาคตะวันออก ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวและพืชผลทางการเกษตรหลักของประเทศ รายงานเบื้องต้นจากกระทรวงเกษตรระบุว่า นาข้าวหลายหมื่นไร่ที่กำลังรอการเก็บเกี่ยวจมอยู่ใต้น้ำ
- ผลกระทบ การสูญเสียผลผลิตจำนวนมหาศาลอาจทำให้ราคาข้าวและผักสดในตลาดพุ่งสูงขึ้น สร้างแรงกดดันเงินเฟ้อ (Inflationary Pressure) ระลอกใหม่ให้กับประชาชนที่แบกรับค่าครองชีพสูงอยู่แล้ว รัฐบาลอาจจำเป็นต้องนำเข้าข้าวฉุกเฉิน ซึ่งจะกระทบต่อทุนสำรองระหว่างประเทศที่สะสมมาอย่างยากลำบาก
- ภาคการท่องเที่ยวหยุดชะงัก เดือนธันวาคมคือช่วง “High Season” ของการท่องเที่ยวศรีลังกา ภาพข่าวน้ำท่วมและดินถล่มที่แพร่สะพัดไปทั่วโลกอาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติยกเลิกการจองห้องพัก โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและพื้นที่ภูเขา ซึ่งการท่องเที่ยวถือเป็นแหล่งรายได้เงินตราต่างประเทศอันดับต้นๆ ของศรีลังกา
ดร. นิมาล เปเรรา นักเศรษฐศาสตร์อิสระในกรุงโคลัมโบ ให้ทัศนะว่า “นี่ไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติ แต่มันคือภัยคุกคามทางเศรษฐกิจ หากรัฐบาลจัดการล่าช้าและปล่อยให้โครงสร้างพื้นฐานเสียหายเป็นเวลานาน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่งกลับมาอาจสั่นคลอนอีกครั้ง”

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความปกติใหม่ที่โหดร้าย
เหตุการณ์ น้ำท่วมศรีลังกา 2568 ครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ชี้ชัดถึงผลกระทบของ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (Climate Change)
ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยาระบุว่า อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรอินเดียและอ่าวเบงกอลที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ เป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ทำให้พายุดีเปรสชันมีกำลังแรงขึ้นและอุ้มน้ำได้มากขึ้น ส่งผลให้มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeast Monsoon) ในปีนี้มีความรุนแรงเกินกว่าค่าเฉลี่ยในรอบทศวรรษ
“โครงสร้างพื้นฐานและระบบระบายน้ำของศรีลังกา ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับสภาพอากาศในศตวรรษที่ 20 ไม่ใช่ความสุดขั้วของสภาพอากาศในศตวรรษที่ 21” เจ้าหน้าที่อาวุโสจาก DMC ยอมรับถึงข้อจำกัดในการรับมือ
มิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและบทบาทเพื่อนบ้าน
ในยามวิกฤต ประชาคมโลกเริ่มยื่นมือเข้าช่วยเหลือ อินเดีย ในฐานะเพื่อนบ้านใกล้ชิด ได้เตรียมส่งเรือรบพร้อมสิ่งของบรรเทาทุกข์เข้าสู่กรุงโคลัมโบ ขณะที่สหประชาชาติ (UN) ได้ประกาศเตรียมจัดสรรงบประมาณฉุกเฉิน
มุมมองถึงประเทศไทยและอาเซียน แม้เหตุการณ์นี้จะดูห่างไกลจากไทย แต่ในฐานะที่ศรีลังกาเป็นคู่ค้าและมีความสัมพันธ์ทางศาสนาที่แน่นแฟ้น ผลกระทบนี้อาจส่งผลต่อการส่งออกสินค้าบางประเภทของไทยไปยังศรีลังกา นอกจากนี้ ไทยในฐานะประเทศที่มีประสบการณ์จัดการอุทกภัย อาจพิจารณาส่งความช่วยเหลือด้านเทคนิคหรือทีมกู้ภัย ซึ่งจะเป็นการกระชับความสัมพันธ์ทางการทูต (Soft Power) ในเวทีเอเชียใต้ได้เป็นอย่างดี

บทสรุป ภารกิจกู้ชาติจากโคลนตม
ขณะที่ระดับน้ำในบางพื้นที่เริ่มทรงตัว แต่ภารกิจที่แท้จริงของศรีลังเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น รัฐบาลต้องเผชิญกับโจทย์ที่ซับซ้อนที่สุด คือการเยียวยาผู้ประสบภัยและซ่อมแซมประเทศโดยไม่ทำให้วินัยทางการเงินการคลังเสียสมดุล
ตัวเลข 31 ศพ ไม่ใช่เพียงสถิติ แต่คือโศกนาฏกรรมของครอบครัว และเป็นเครื่องเตือนใจว่า ในยุคที่โลกเดือดดาล ภัยธรรมชาติสามารถฉุดรั้งการพัฒนาประเทศให้ถอยหลังได้ในชั่วข้ามคืน ศรีลังกาจะต้องพิสูจน์ให้โลกเห็นอีกครั้งถึง “ความยืดหยุ่น” (Resilience) ของตนเอง ว่าจะสามารถลุกขึ้นยืนจากโคลนตมครั้งนี้ได้แข็งแกร่งเพียงใด
โลกกำลังจับตามองว่า “ไข่มุกแห่งมหาสมุทรอินเดีย” จะกลับมาทอแสงได้อีกครั้ง หรือจะถูกบดบังด้วยเมฆฝนแห่งวิกฤตการณ์ที่ซ้ำซากจำเจ
แหล่งที่มาจาก : am2con