[บันดาอาเจะห์/จาการ์ตา] – ความเงียบสงบในยามบ่ายของหมู่เกาะทางตะวันตกสุดของอินโดนีเซียถูกทำลายลงอย่างฉับพลัน เมื่อแรงสั่นสะเทือนขนาด 6.6 แมกนิจูด เข้าปะทะชายฝั่งเกาะซิมูลู (Simeulue) นอกชายฝั่งเกาะสุมาตรา ส่งผลให้ประชาชนนับหมื่นแตกตื่นวิ่งออกจากอาคารบ้านเรือน เหตุการณ์ แผ่นดินไหวเกาะซิมูลู ครั้งล่าสุดนี้ แม้จะจบลงด้วยคำยืนยันว่า “ไม่มีความเสี่ยงสึนามิ” แต่กลับเป็นการส่งสัญญาณเตือนที่ทรงพลังจากใต้พิภพ ถึงแรงกดดันมหาศาลที่กำลังก่อตัวขึ้นในรอยเลื่อนที่อันตรายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

วินาทีระทึกและข้อมูลทางธรณีวิทยา
สำนักงานอุตุนิยมวิทยา ภูมิอากาศวิทยา และธรณีฟิสิกส์แห่งอินโดนีเซีย (BMKG) รายงานว่า แผ่นดินไหวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 14.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับเวลาในประเทศไทย) โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ห่างจากเมืองซินาบัง (Sinabang) บนเกาะซิมูลูไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 24 กิโลเมตร และมีความลึกประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่งถือเป็นแผ่นดินไหวระดับตื้น (Shallow Earthquake) ที่มักสร้างแรงสั่นสะเทือนบนพื้นดินรุนแรงกว่าแผ่นดินไหวระดับลึก
“พื้นดินโยกอย่างแรงเหมือนเรือที่เจอพายุ ไฟดับทันที เสียงไซเรนดังระงมไปทั่ว” ฮัสซัน ชาวประมงในพื้นที่เล่าเหตุการณ์ผ่านโทรศัพท์ “พวกเราวิ่งขึ้นเนินเขาทันทีโดยไม่ต้องรอฟังประกาศ เพราะเราจำบทเรียนปี 2004 ได้แม่นยำ”
แม้แรงสั่นสะเทือนจะรับรู้ได้ไกลถึงจังหวัดอาเจะห์และบางส่วนของเกาะสุมาตราเหนือ แต่โชคดีที่ลักษณะการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกในครั้งนี้เป็นแบบ “สไลด์ข้าง” (Strike-slip) ในระดับท้องถิ่น ผสมกับแรงยกตัวที่ไม่มากพอจะแทนที่มวลน้ำมหาศาล ทำให้ BMKG และศูนย์เตือนภัยสึนามิแปซิฟิก (PTWC) ยืนยันตรงกันว่า ไม่มีคำเตือนสึนามิ
“Smong” เมื่อตำนานช่วยชีวิต ท่ามกลางเทคโนโลยีที่ล่าช้า
ในขณะที่ระบบแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชันมือถืออาจมีความล่าช้าจากสัญญาณเครือข่ายที่ล่มในบางจุด สิ่งที่ทำงานได้รวดเร็วที่สุดคือ “สัญชาตญาณ” และภูมิปัญญาท้องถิ่น
เกาะซิมูลูมีชื่อเสียงก้องโลกจากตำนาน “Smong” (สมอง) เรื่องเล่าขานสืบต่อกันมาว่าหากแผ่นดินไหวแรงและน้ำลดให้รีบหนีขึ้นที่สูง ภูมิปัญญานี้เคยช่วยชีวิตชาวเกาะเกือบทั้งหมดในสึนามิปี 2004 และในเหตุการณ์ แผ่นดินไหวเกาะซิมูลู ครั้งนี้ วัฒนธรรมดังกล่าวก็ยังคงทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันชีวิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
ดร. ดารีโยโน หัวหน้าศูนย์แผ่นดินไหวและสึนามิของ BMKG กล่าวชื่นชมว่า “เทคโนโลยีสำคัญ แต่ความตระหนักรู้ของชุมชนสำคัญกว่า สิ่งที่เราเห็นวันนี้คือตัวอย่างของชุมชนที่เข้มแข็ง (Resilient Community) ที่ไม่ประมาทแม้ระบบจะบอกว่าปลอดภัย”

ความกังวลเรื่อง “Megathrust” และอาฟเตอร์ช็อก
อย่างไรก็ตาม นักธรณีวิทยาระดับสากลมองว่าเหตุการณ์นี้อาจเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ การเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.6 ในบริเวณนี้ ย้ำเตือนถึงกิจกรรมของ “Sunda Megathrust” รอยเลื่อนยักษ์ที่ทอดตัวยาวขนานกับเกาะสุมาตราและชวา
ศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยาจากสถาบันวิทยาศาตร์แห่งชาติอินโดนีเซีย (BRIN) ให้ทัศนะว่า “พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาในวันนี้เป็นเพียงส่วนเล็กน้อย เรายังคงต้องเฝ้าระวังโซนช่องว่างแผ่นดินไหว (Seismic Gap) ในบริเวณเมนตาไว (Mentawai) ที่สะสมพลังงานมานานนับร้อยปี เหตุการณ์วันนี้อาจเป็นการคลายเครียดของเปลือกโลก หรืออาจเป็นตัวกระตุ้น (Trigger) ให้จุดอื่นขยับตัวก็ได้ ซึ่งไม่มีใครตอบได้ชัดเจน”
รายงานเบื้องต้นระบุความเสียหายทางโครงสร้าง อาคารพาณิชย์และบ้านเรือนกึ่งถาวรหลายแห่งในเมืองซินาบังสรรค์มีรอยร้าวและพังถล่มบางส่วน แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ มีเพียงผู้บาดเจ็บจากการถูกเศษวัสดุตกใส่ขณะหลบหนี
แรงกระเพื่อมถึงไทยและเพื่อนบ้าน
สำหรับผลกระทบต่อภูมิภาค แรงสั่นสะเทือนจาก แผ่นดินไหวอินโดนีเซีย 6.6 ครั้งนี้ สามารถรับรู้ได้เบาบางในอาคารสูงของเกาะภูเก็ตและจังหวัดพังงาของประเทศไทย แต่ กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยาไทย ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างอาคารและไม่มีความเสี่ยงสึนามิต่อชายฝั่งอันดามันของไทย
นายอำเภอเมืองภูเก็ตกล่าวถึงมาตรการรับมือว่า “แม้ครั้งนี้จะไม่รุนแรง แต่เป็นเครื่องเตือนใจให้เราตรวจสอบทุ่นเตือนภัยสึนามิและซักซ้อมแผนอพยพอย่างสม่ำเสมอ เพราะเราใช้น่านน้ำร่วมกับแนวรอยเลื่อนเดียวกัน”

บทสรุป การใช้ชีวิตบนความเสี่ยง
เหตุการณ์ที่เกาะซิมูลูจบลงด้วยความโล่งใจของชาวโลก แต่สำหรับผู้อาศัยบน “วงแหวนแห่งไฟ” นี่คือกิจวัตรแห่งความเสี่ยงที่พวกเขาต้องเผชิญ คืนนี้ชาวเกาะซิมูลูอาจต้องนอนขวัญผวาจากแรงสั่นสะเทือนตาม (Aftershocks) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่องไปอีกหลายวัน
บทเรียนสำคัญจากวันนี้ไม่ใช่ความโชคดีที่ไม่มีสึนามิ แต่คือความพร้อมของมนุษย์ที่จะรับมือกับความไม่แน่นอนของธรรมชาติ ระบบเตือนภัยที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่ไซเรนที่ดังที่สุด แต่คือความรู้และความไม่ประมาทที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอของชุมชน
แหล่งที่มาจาก : am2con