[ฮ่องกง] – แสงไฟวูบวาบจากรถฉุกเฉินสะท้อนกับกระจกอาคารสูงระฟ้าในย่านเกาลูน ตัดกับควันดำทะมึนที่พวยพุ่งออกมาจากหน้าต่างบานเล็กของอาคารพาณิชย์เก่าแก่อายุกว่า 60 ปี นี่ไม่ใช่ฉากในภาพยนตร์ฮอลลีวูด แต่คือความจริงอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 1 ธันวาคม 2025 เหตุการณ์ ไฟไหม้แฟลตฮ่องกง ครั้งล่าสุดนี้ ได้พรากชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 4 ราย และบาดเจ็บอีกนับสิบ แต่สิ่งที่ถูกเผาผลาญไปพร้อมกับซากอาคาร ไม่ใช่แค่ทรัพย์สิน หากแต่คือ “ความหวัง” ในการมีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยของชนชั้นล่างในเมืองที่ค่าครองชีพสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

นาทีระทึกและปฏิบัติการกู้ภัยใน “เขาวงกต”
เหตุเพลิงไหม้ปะทุขึ้นเมื่อเวลา 04.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ที่อาคารที่พักอาศัยแบบผสม (Composite Building) แห่งหนึ่งในย่านจอร์แดน (Jordan) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นประชากรสูง รายงานเบื้องต้นจากกรมดับเพลิงฮ่องกง (FSD) ระบุว่า ต้นเพลิงเกิดจากบริเวณโถงทางเดินชั้น 1 ซึ่งเต็มไปด้วยขยะและสิ่งของวางกีดขวาง ก่อนที่เปลวเพลิงจะลุกลามขึ้นสู่ชั้นบนอย่างรวดเร็วผ่านปล่องบันได
ความท้าทายของนักผจญเพลิง เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกว่า 150 นายต้องเผชิญกับฝันร้ายทางยุทธวิธี อาคารดังกล่าวถูกดัดแปลงภายในอย่างผิดกฎหมายเพื่อทำเป็น “ห้องแบ่งเช่า” (Subdivided Units – SDUs) จำนวนมาก การซอยห้องย่อยทำให้ผังอาคารซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทางหนีไฟถูกปิดตายหรือถูกใช้เป็นพื้นที่เก็บของ “เราพบผู้เสียชีวิต 2 รายในโถงทางเดิน พวกเขาพยายามหนีแต่ไปไม่ถึงทางออกเพราะควันหนาทึบและประตูกั้นเหล็กดัดที่ล็อกแน่นหนา” หัวหน้าชุดปฏิบัติการกู้ภัยให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
โศกนาฏกรรมซ้ำซาก จาก “New Lucky House” สู่ปัจจุบัน
เหตุการณ์นี้ทำให้นึกย้อนไปถึงโศกนาฏกรรมไฟไหม้อาคาร New Lucky House เมื่อปี 2024 ที่มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ความคล้ายคลึงกันอย่างน่าตกใจคือ ทั้งสองเหตุการณ์เกิดขึ้นในอาคารเก่าที่ขาดการบำรุงรักษา และมีการดัดแปลงการใช้งานเกินความจุ
ผู้เสียชีวิตทั้ง 4 รายในเหตุการณ์ล่าสุดนี้ เบื้องต้นระบุว่าเป็นผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่เพียงลำพัง และแรงงานข้ามชาติที่มาทำงานในภาคบริการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มเปราะบางที่สุดในสังคมคือผู้รับเคราะห์กรรมจากความหย่อนยานของมาตรฐานความปลอดภัย

เจาะลึกรากเหง้าปัญหา “ตึกสามไม่มี” และกับดักห้องรูหนู
เพื่อให้เข้าใจว่าทำไม ไฟไหม้แฟลตฮ่องกง จึงมักรุนแรงและสูญเสียมาก ต้องมองลึกลงไปในโครงสร้างปัญหาที่อยู่อาศัยของฮ่องกง
- อาคาร “สามไม่มี” (Three-nil Buildings) อาคารเกิดเหตุจัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า “Three-nil buildings” คือ 1. ไม่มีนิติบุคคลอาคารชุด 2. ไม่มีองค์กรผู้อยู่อาศัย และ 3. ไม่มีบริษัทจัดการทรัพย์สินดูแล อาคารเหล่านี้มักมีระบบป้องกันอัคคีภัยที่เสื่อมสภาพ ไม่มีหัวรับน้ำดับเพลิงที่ใช้งานได้จริง และสายไฟเก่าเก็บที่พร้อมจะลัดวงจรได้ทุกเมื่อ รัฐบาลฮ่องกงพยายามผลักดันกฎหมายบังคับซ่อมแซม แต่ด้วยปัญหาเจ้าของห้องกระจัดกระจายและขาดงบประมาณ ทำให้การปรับปรุงเป็นไปอย่างล่าช้า
- วิกฤตห้องเช่าแบ่งซอย (Subdivided Units – SDUs) แม้ฮ่องกงจะเป็นศูนย์กลางทางการเงิน แต่ประชากรกว่า 200,000 คนยังคงต้องอาศัยอยู่ใน SDUs หรือที่เรียกกันว่า “ห้องรูหนู” ซึ่งเป็นการนำแฟลตหนึ่งห้องมาซอยย่อยเป็น 3-5 ห้องเล็กๆ ขนาดเพียงไม่กี่ตารางเมตร
- ความเสี่ยง การกั้นห้องเพิ่มหมายถึงการเพิ่มภาระโหลดทางไฟฟ้า การปิดกั้นช่องระบายอากาศ และที่สำคัญที่สุดคือ “การลดจำนวนทางหนีไฟ” เหลือเพียงทางเดียว เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ ผู้อยู่อาศัยจึงเหมือนติดอยู่ในกับดัก
แรงกระเพื่อมทางการเมืองและสังคม
เหตุการณ์นี้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อคณะผู้บริหารเกาะฮ่องกง โดยเฉพาะ นายจอห์น ลี (John Lee) ผู้บริหารสูงสุด ที่เพิ่งประกาศนโยบาย “Eradicating Subdivided Units” (การกำจัดห้องเช่าแบ่งซอยที่ไม่ได้มาตรฐาน) ไปเมื่อไม่นานมานี้
นักวิเคราะห์ทางการเมืองมองว่า “ไฟไหม้ครั้งนี้คือบททดสอบความเป็นผู้นำ รัฐบาลจะแค่แสดงความเสียใจและตั้งคณะกรรมการสอบสวนเหมือนที่ผ่านมา หรือจะกล้าใช้ ‘ยาแรง’ ในการจัดระเบียบอาคารเก่า แม้จะต้องกระทบกับผลประโยชน์ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์และทำให้คนจนไร้ที่อยู่ชั่วคราวก็ตาม”
เสียงสะท้อนจากภาคประชาชน กลุ่มสิทธิมนุษยชนและองค์กร NGO ด้านที่อยู่อาศัย อย่าง Society for Community Organization (SoCO) ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งจัดหาที่พักอาศัยชั่วคราว (Transitional Housing) ให้เพียงพอ ก่อนที่จะไล่รื้อหรือสั่งปิดอาคารที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะหากไม่มีที่รองรับ การปราบปรามจะยิ่งผลักให้คนจนต้องไปอยู่ในที่ที่อันตรายยิ่งกว่าเดิม

มุมมองเสริม ผลกระทบต่อชาวไทยและนักท่องเที่ยว
แม้ในรายงานเบื้องต้นจะยังไม่มีชื่อคนไทยในบัญชีผู้เสียชีวิต แต่ย่านที่เกิดเหตุ (จอร์แดน/เยามะไต๋) เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็คเกอร์และแรงงานไทย เนื่องจากมีเกสต์เฮาส์ราคาถูกจำนวนมากที่ตั้งอยู่ในอาคารลักษณะเดียวกันนี้
สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง ได้ออกประกาศเตือนให้คนไทยในพื้นที่ตรวจสอบระบบความปลอดภัยของที่พักอาศัย และระมัดระวังการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วงหน้าหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่ความเสี่ยงอัคคีภัยสูงขึ้นจากการใช้เครื่องทำความร้อน
บทสรุป ราคาชีวิตในเมืองศิวิไลซ์
ควันไฟอาจจางหายไปในไม่ช้า แต่รอยแผลเป็นจากเหตุ ไฟไหม้แฟลตฮ่องกง ครั้งนี้จะยังคงอยู่ มันตอกย้ำความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่ซึ่งตึกระฟ้ามูลค่าพันล้านตั้งตระหง่านเสียดฟ้า แต่อีกมุมหนึ่ง ผู้คนต้องแลกชีวิตกับค่าเช่าราคาถูกในตึกที่ไร้ความปลอดภัย
การแก้ปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องวิศวกรรมหรือการดับเพลิง แต่คือเรื่องของ “มนุษยธรรม” และ “เจตจำนงทางการเมือง” หากฮ่องกงยังไม่สามารถจัดการกับระเบิดเวลาลูกนี้ได้ เหตุการณ์ทำนองนี้ก็พร้อมจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และครั้งต่อไป ความสูญเสียอาจไม่ได้หยุดอยู่ที่ตัวเลข 4 ศพ
โลกกำลังจับตามองว่า ฮ่องกงจะก้าวข้ามโศกนาฏกรรมนี้ไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง หรือจะปล่อยให้มันเป็นเพียงอีกหนึ่งสถิติในหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกลืม
แหล่งที่มาจาก : am2con