[นครหลวงเวียงจันทน์/ย่างกุ้ง] – ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวของโลกที่มุ่งหน้าสู่ “พลังงานสีเขียว” และความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง กลับมีความจริงที่น่าสะพรึงกลัวซ่อนอยู่ใต้ผิวน้ำขุ่นคลั่กของแม่น้ำโขง ผลการวิจัยและรายงานการตรวจสอบสภาพแวดล้อมล่าสุดบ่งชี้ว่า มลพิษจากเหมืองแร่แม่น้ำโขง กำลังเข้าขั้นวิกฤต โดยมีต้นตอหลักจากการขยายตัวอย่างบ้าคลั่งของเหมืองแร่หายาก (Rare Earth Elements) และเหมืองทองคำที่ไร้การกำกับดูแลในพื้นที่รอยต่อชายแดน ซึ่งกำลังปล่อยสารพิษร้ายแรงลงสู่เส้นเลือดใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้.

มลพิษจากเหมืองแร่แม่น้ำโขง เงามืดของอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด
รายงานล่าสุดจากสถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมนานาชาติและกลุ่มสังเกตการณ์ทรัพยากรธรรมชาติ เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ระดับความเข้มข้นของซัลเฟต กรด และโลหะหนัก อาทิ สารหนูและแคดเมียม ในแม่น้ำสาขาที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขงตอนบนและตอนกลาง มีค่าสูงเกินมาตรฐานความปลอดภัยอย่างมีนัยสำคัญ
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ ความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างสารพิษเหล่านี้กับ “เหมืองแร่ไร้การกำกับดูแล” (Unregulated Mines) ที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ดในรัฐกะฉิ่นของเมียนมา และแขวงทางตอนเหนือของ สปป.ลาว พื้นที่เหล่านี้กลายเป็นแหล่งผลิตแร่ “แรร์เอิร์ธ” (Rare Earths) ที่สำคัญ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตแม่เหล็กสำหรับมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้าและกังหันลม
“เรากำลังเห็นการเสียสละระบบนิเวศของแม่น้ำสายที่สำคัญที่สุดสายหนึ่งของโลก เพื่อตอบสนองความหิวกระหายเทคโนโลยีของโลกตะวันตกและจีน” ดร. ซาราห์เจน (นามสมมติ) นักวิจัยด้านอุทกวิทยาอิสระที่ติดตามคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำโขง กล่าว “สารเคมีที่ใช้ในการชะล้างแร่ออกมาจากดิน ไม่ได้หายไปไหน แต่มันถูกปล่อยไหลลงสู่ลำห้วย และสุดท้ายก็ลงมารวมกันที่แม่น้ำโขง”
ภูมิรัฐศาสตร์เบื้องหลังบ่อสารพิษ
เพื่อเข้าใจรากเหง้าของปัญหา เราต้องมองข้ามปัญหาสิ่งแวดล้อมไปสู่มิติทาง “ภูมิรัฐศาสตร์” (Geopolitics) และเศรษฐกิจโลก
จีน ซึ่งเป็นผู้ครองตลาดการแปรรูปแร่หายากของโลก ได้เริ่มเข้มงวดกับกฎหมายสิ่งแวดล้อมภายในประเทศและปราบปรามการทำเหมืองผิดกฎหมาย ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำนวนมากย้ายฐานการผลิตข้ามพรมแดนมายังประเทศเพื่อนบ้านที่มีกฎหมายอ่อนแอกว่า หรือพื้นที่ที่อำนาจรัฐเข้าไม่ถึง โดยเฉพาะในเมียนมา ซึ่งสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองหลังการรัฐประหารทำให้พื้นที่ชายแดนตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มติดอาวุธและกองกำลังท้องถิ่น
การทำเหมืองแบบ In-situ Leaching ดาบสองคม
วิธีการทำเหมืองแรร์เอิร์ธส่วนใหญ่ในพื้นที่นี้ใช้วิธีที่เรียกว่า “In-situ Leaching” หรือการเจาะรูลงไปในภูเขาแล้วอัดฉีดสารละลายเคมี (มักเป็นแอมโมเนียมซัลเฟต) ลงไปเพื่อละลายแร่ธาตุออกมา จากนั้นจึงสูบของเหลวกลับขึ้นมาเพื่อสกัดแร่ วิธีนี้แม้จะมีต้นทุนต่ำและไม่ต้องขุดหน้าดินเปิดกว้าง แต่ความเสี่ยงคือสารเคมีมหาศาลจะรั่วไหลลงสู่ชั้นน้ำบาดาลและไหลซึมลงสู่แม่น้ำสาขาเมื่อเกิดฝนตกหนัก
ภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดแสดงให้เห็นบ่อบำบัดน้ำเสียสีเขียวมรกตและสีขุ่นข้นนับร้อยแห่งกระจายตัวอยู่ตามแนวเขาที่ติดกับลำน้ำสาขา รายงานระบุว่า บ่อเหล่านี้มักไม่มีการปูพื้นป้องกันการรั่วซึมที่ได้มาตรฐาน และเมื่อถึงฤดูมรสุม บ่อเหล่านี้มักจะเอ่อล้น นำพาสารพิษลงสู่แม่น้ำโขงโดยตรง

ผลกระทบลูกโซ่ จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ
มลพิษจากเหมืองแร่แม่น้ำโขง ไม่ได้หยุดอยู่แค่พื้นที่รอบเหมือง แต่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ตลอดความยาวแม่น้ำกว่า 4,000 กิโลเมตร
- หายนะต่อความหลากหลายทางชีวภาพ แม่น้ำโขงเป็นบ้านของปลาน้ำจืดขนาดใหญ่และพันธุ์ปลาท้องถิ่นนับพันชนิด สารโลหะหนักที่สะสมในตะกอนดินท้องน้ำส่งผลกระทบต่อวงจรชีวิตของปลา โดยเฉพาะการวางไข่และการเจริญเติบโต งานวิจัยชี้ว่าปลาในบางพื้นที่เริ่มมีการปนเปื้อนของสารหนูและปรอทในเนื้อเยื่อ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสัตว์นักล่าและมนุษย์ที่บริโภค
- ภัยคุกคามความมั่นคงทางอาหาร ประชากรกว่า 60 ล้านคนในลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม พึ่งพาแม่น้ำโขงเป็นแหล่งโปรตีนและน้ำเพื่อการเกษตร สารพิษที่ไหลมาตามน้ำอาจสะสมในพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง (Mekong Delta) ของเวียดนาม ซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของโลก การปนเปื้อนนี้อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและสุขภาพของประชากรในระยะยาว
- การเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำที่คาดเดาไม่ได้ นอกเหนือจากสารเคมี การทำเหมืองยังทำให้เกิดตะกอนดินมหาศาล เปลี่ยนสีของน้ำและลดปริมาณออกซิเจนในน้ำ ซึ่งเมื่อรวมกับการเปลี่ยนแปลงการไหลของน้ำจากเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ ยิ่งทำให้ระบบนิเวศของแม่น้ำโขงเปราะบางจนถึงขีดสุด
สุญญากาศทางกฎหมายและการไร้การตรวจสอบ
ประเด็นที่ท้าทายที่สุดของปัญหานี้คือ “สุญญากาศทางอำนาจ” ในพื้นที่ต้นกำเนิดมลพิษ
ในเมียนมา พื้นที่ทำเหมืองแรร์เอิร์ธส่วนใหญ่อยู่ในเขตอิทธิพลของกองกำลังติดอาวุธที่มีความสัมพันธ์ซับซ้อนกับรัฐบาลทหารและนักลงทุนต่างชาติ การเข้าตรวจสอบโดยองค์กรอิสระแทบจะเป็นไปไม่ได้ ขณะที่ใน สปป.ลาว แม้รัฐบาลจะมีนโยบายดึงดูดการลงทุนต่างชาติ แต่ศักยภาพในการบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมและการตรวจสอบโครงการขนาดเล็กที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ห่างไกลยังคงจำกัด
“มันเป็นเรื่องยากที่คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) หรือกลไกระหว่างประเทศจะเข้าไปแทรกแซงโดยตรง เพราะนี่ถูกมองว่าเป็นเรื่องอธิปไตยและการจัดการทรัพยากรภายใน” นักวิเคราะห์ด้านนโยบายสาธารณะในภูมิภาคอาเซียนกล่าว “แต่ผลกระทบมันข้ามพรมแดน (Transboundary) และผู้ที่รับกรรมคือเกษตรกรและชาวประมงที่อยู่ปลายน้ำ”

บทสรุป ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการพัฒนา
วิกฤต มลพิษจากเหมืองแร่แม่น้ำโขง สะท้อนให้เห็นถึงด้านมืดของการพัฒนาเศรษฐกิจและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด เมื่อความต้องการทรัพยากรของโลกไปกระตุ้นให้เกิดการขุดค้นทรัพยากรในพื้นที่ที่ธรรมาภิบาลอ่อนแอ
หากปราศจากความร่วมมือระดับภูมิภาคที่จริงจัง และแรงกดดันจากห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) ที่ต้องตรวจสอบแหล่งที่มาของแร่ธาตุอย่างเข้มงวด แม่น้ำโขงอาจเปลี่ยนสภาพจาก “มารดาแห่งสายน้ำ” ที่หล่อเลี้ยงชีวิต กลายเป็นเพียงท่อระบายสารพิษขนาดมหึมา ที่นำพาความตายจากต้นน้ำมาสู่ปลายน้ำอย่างเงียบเชียบ
ถึงเวลาแล้วที่ประชาคมโลกและรัฐบาลในลุ่มน้ำโขงต้องตระหนักว่า ต้นทุนที่แท้จริงของแร่ธาตุเหล่านี้ ไม่ได้จ่ายด้วยเงินตรา แต่กำลังจ่ายด้วยอนาคตของระบบนิเวศและชีวิตของผู้คนนับล้าน
แหล่งที่มาจาก : am2con