กรุงโตเกียว, ญี่ปุ่น – ท่ามกลางบรรยากาศการท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่กำลังฟื้นตัวอย่างร้อนแรง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ระลอกใหม่ได้ปะทุขึ้นบนโลกโซเชียลมีเดียอีกครั้ง เมื่อภาพถ่ายพรีเวดดิ้งของคู่รักคนดังชาวฟิลิปปินส์ที่เดินทางมาถ่ายทำในนครโอซาก้า กลายเป็นประเด็นดราม่าข้ามประเทศ ภาพของว่าที่เจ้าสาวในชุดราตรียาวสวยงาม แต่กลับเลือกที่จะ ดาราฟิลิปปินส์นั่งตู้กดน้ำ สาธารณะเพื่อหามุมภาพที่แปลกตา ได้สร้างความไม่พอใจให้กับชาวญี่ปุ่นและชาวเน็ตทั่วโลก เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เพียงแค่ความผิดพลาดส่วนบุคคล แต่กำลังกลายเป็นสัญลักษณ์ของปัญหาเรื้อรังที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญ นั่นคือ “มลพิษจากการท่องเที่ยว” (Tourism Pollution) ที่เส้นแบ่งระหว่างการสร้างคอนเทนต์สวยงามกับการละเมิดทรัพย์สินสาธารณะกำลังเลือนลางลงทุกที

1. จุดเริ่มต้นดราม่า ช็อตสวยที่ผิดที่ผิดทาง
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อภาพถ่ายชุดพรีเวดดิ้งถูกเผยแพร่ลงบนอินสตาแกรมและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยหวังจะแชร์ช่วงเวลาแห่งความสุขและความโรแมนติกในบรรยากาศสตรีทของญี่ปุ่น แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาผู้ชมกลับไม่ใช่ความหวานของคู่รัก แต่เป็นอากัปกิริยาของฝ่ายหญิงที่ขึ้นไปนั่งโพสท่าอยู่บนตู้จำหน่ายเครื่องดื่มอัตโนมัติ (Vending Machine) ริมถนน
ปฏิกิริยาที่ตีกลับ (Backlash) ทันทีที่ภาพปรากฏ คอมเมนต์เชิงลบหลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทั้งจากชาวญี่ปุ่นและชาวฟิลิปปินส์เองที่กังวลเรื่องภาพลักษณ์ของประเทศ
- “ตู้กดน้ำมีไว้บริการเครื่องดื่ม ไม่ใช่เก้าอี้สตูดิโอ”
- “นี่คือการกระทำที่ ‘เมวะกุ’ (Meiwaku – สร้างความเดือดร้อนรำคาญ) อย่างมากในวัฒนธรรมญี่ปุ่น”
- “ทำไมถึงคิดว่าการเอาเท้าหรือก้นไปวางบนที่ที่คนอื่นต้องใช้มือหยิบจับอาหารเป็นเรื่องเท่?”
แม้ภายหลังอาจมีการลบภาพหรือชี้แจง แต่รอยร้าวทางความรู้สึกได้เกิดขึ้นแล้ว และถูกนำไปเปรียบเทียบกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวต่างชาติอื่นๆ ที่สร้างปัญหาในญี่ปุ่นช่วงปีที่ผ่านมา
2. ถอดรหัสวัฒนธรรม ทำไม “ตู้กดน้ำ” ถึงแตะต้องไม่ได้?
สำหรับคนต่างชาติ ตู้กดน้ำอาจเป็นแค่กล่องเหล็กขายของ แต่ในบริบทสังคมญี่ปุ่น มันมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น และนี่คือสาเหตุว่าทำไมกรณี ดาราฟิลิปปินส์นั่งตู้กดน้ำ ถึงเป็นเรื่องใหญ่
2.1 ความสะอาดและสุขอนามัย (Cleanliness & Hygiene) ญี่ปุ่นให้ความสำคัญสูงสุดกับความสะอาด ตู้กดน้ำในญี่ปุ่นได้รับการดูแลรักษาอย่างดี แทบไม่มีฝุ่นจับหรือรอยขีดข่วน การนำรองเท้าหรือร่างกายขึ้นไปสัมผัส ถือเป็นการ “ทำให้แปดเปื้อน” (Kegare) ในทางความรู้สึก
2.2 ทรัพย์สินที่มีเจ้าของ ตู้กดน้ำทุกตู้มีเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเครื่องดื่มหรือร้านค้าที่ตู้นั้นตั้งอยู่ การขึ้นไปนั่งโดยไม่ได้รับอนุญาต เท่ากับเป็นการบุกรุกหรือใช้ทรัพย์สินผู้อื่นผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายทำลายทรัพย์สินหากเกิดความเสียหาย
2.3 วัฒนธรรม “เมวะกุ” (Meiwaku) หัวใจสำคัญของสังคมญี่ปุ่นคือการไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น การนั่งบนตู้กดน้ำอาจกีดขวางผู้ที่จะมาใช้งานจริง หรือสร้างความรู้สึกไม่สบายใจให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมา การกระทำที่เน้น “ตัวตน” (Individualism) เหนือ “ส่วนรวม” (Collectivism) จึงเป็นสิ่งที่สังคมญี่ปุ่นยอมรับได้ยาก

3. ญี่ปุ่นในภาวะวิกฤต Overtourism และความอดทนที่สิ้นสุด
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดของภาคการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ย้อนกลับไปในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นเผชิญกับคลื่นนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลที่มาพร้อมกับพฤติกรรมที่ยากจะควบคุม
สถิติและเหตุการณ์เชื่อมโยง
- ย่านกิออน (Kyoto) ทางการต้องสั่งห้ามนักท่องเที่ยวเข้าตรอกส่วนบุคคล เพราะมีการรุมถ่ายรูปไมโกะและเกอิชาจนเกินงาม
- ภูเขาไฟฟูจิ (Fujikawaguchiko) ร้านสะดวกซื้อ Lawson ต้องนำผ้าดำมากั้นบังวิวภูเขาไฟฟูจิ เพราะนักท่องเที่ยวข้ามถนนอย่างอันตรายและทิ้งขยะเกลื่อนเพียงเพื่อจะได้รูปถ่าย
- ชิบูย่า (Shibuya) การสั่งห้ามดื่มแอลกอฮอล์บนท้องถนนในช่วงฮาโลวีนเพื่อลดความวุ่นวาย
กรณีของดาราฟิลิปปินส์จึงเป็นเหมือน “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ตอกย้ำว่า นักท่องเที่ยวระดับ High Profile หรือ Influencer ที่ควรจะเป็นแบบอย่าง กลับเป็นผู้ละเมิดกฎเสียเอง เพียงเพื่อยอดไลก์และความสวยงามทางศิลปะ
4. เสียงสะท้อนจากโซเชียลมีเดีย บทเรียนเรื่องมารยาทสากล
ดราม่าครั้งนี้ก่อให้เกิดการถกเถียงที่น่าสนใจในกลุ่มชาวเน็ตอาเซียนและญี่ปุ่น
มุมมองฝ่ายปกป้อง บางส่วนมองว่าชาวเน็ตญี่ปุ่นอาจจะ “เข้มงวดเกินไป” หรือ “ดราม่าเกินเหตุ” โดยให้เหตุผลว่านักท่องเที่ยวอาจไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติ และไม่ได้มีเจตนาทำลายข้าวของ เป็นเพียงความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทางวัฒนธรรม
มุมมองฝ่ายวิจารณ์ อย่างไรก็ตาม เสียงส่วนใหญ่ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า “มารยาทสากล” (Common Sense) ควรถูกนำมาใช้
“คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนญี่ปุ่นถึงจะรู้ว่าไม่ควรนั่งทับตู้ขายอาหาร ไม่ว่าจะที่มะนิลา กรุงเทพฯ หรือโตเกียว มันคือมารยาทพื้นฐาน” – ความคิดเห็นยอดนิยมจากผู้ใช้ X (Twitter) รายหนึ่ง
นอกจากนี้ ยังมีการวิจารณ์ถึงทีมงานช่างภาพ ว่าในฐานะมืออาชีพ ควรจะทำหน้าที่ตักเตือนหรือแนะนำสิ่งที่เหมาะสม ไม่ใช่อยากได้แค่ภาพสวยจนมองข้ามความถูกต้อง
5. ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์และการท่องเที่ยว
แม้ดูเหมือนเป็นเรื่องบันเทิง แต่ประเด็นนี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง
- มาตรการที่เข้มงวดขึ้น เหตุการณ์ลักษณะนี้อาจเร่งให้ทางการญี่ปุ่นออกมาตรการควบคุมพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อนักท่องเที่ยวดีๆ ที่เคารพกฎ
- ภาพลักษณ์ประเทศ ชาวฟิลิปปินส์จำนวนมากแสดงความกังวลว่าการกระทำของดาราเพียงกลุ่มเดียว จะทำให้คนญี่ปุ่นมองนักท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ในแง่ลบ (Stereotyping) ส่งผลต่อการขอวีซ่าหรือการต้อนรับในอนาคต
- บทเรียนสำหรับ Influencer เหตุการณ์นี้เป็นกรณีศึกษาสำคัญสำหรับ Content Creator ทั่วโลก ว่าในยุค Digital Footprint การกระทำที่ขาดความยั้งคิดในต่างแดน สามารถทำลายชื่อเสียงที่สั่งสมมาได้ภายในข้ามคืน

6. คู่มือเตือนใจ เที่ยวญี่ปุ่นอย่างไรไม่ให้เป็นดราม่า
เพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย นักท่องเที่ยว (รวมถึงชาวไทย) ควรตระหนักถึงกฎเหล็กเหล่านี้เมื่อไปเยือนญี่ปุ่น
- เคารพทรัพย์สินสาธารณะ ห้ามปีนป่าย นั่งทับ หรือขีดเขียนสิ่งของสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นตู้กดน้ำ ราวสะพาน หรือต้นไม้
- ถ่ายรูปอย่างมีขอบเขต อย่าถ่ายรูปในที่ห้ามถ่าย อย่าขวางทางสัญจร และอย่าถ่ายติดใบหน้าคนอื่นโดยไม่ขออนุญาต (Privacy Rights)
- เสียงและความสงบ งดใช้เสียงดังในที่สาธารณะและบนรถไฟ
- ขยะ นำขยะกลับไปทิ้งที่ที่พัก หรือทิ้งในถังที่แยกประเภทไว้อย่างถูกต้อง
บทสรุป ความสวยงามต้องมาพร้อมความเคารพ
ดราม่า ดาราฟิลิปปินส์นั่งตู้กดน้ำ ในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ข่าวซุบซิบดารา แต่เป็นกระจกสะท้อนความขัดแย้งระหว่าง “วัฒนธรรมเซลฟี่” ของโลกยุคใหม่ กับ “วัฒนธรรมแห่งความเคารพ” ที่ฝังรากลึกในญี่ปุ่น
ในขณะที่ญี่ปุ่นยังคงเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยรอยยิ้ม “โอโมเตะนาชิ” (Omotenashi – จิตวิญญาณการบริการ) ผู้มาเยือนก็มีหน้าที่ตอบแทนด้วยการเป็นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ การเดินทางไม่ใช่เพียงการไปเก็บภาพสวยๆ มาอวดโลกโซเชียล แต่คือการไปเรียนรู้และให้เกียรติวิถีชีวิตของเจ้าบ้าน
หวังว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นบทเรียนราคาแพงที่เตือนสติทุกคนว่า “ความเท่” บนอินสตาแกรม ไม่คุ้มค่ากับการแลกมาด้วยการถูกตราหน้าว่า “ไร้มารยาท” ในสายตาชาวโลก
แหล่งที่มาจาก : am2con