ลบล้างประวัติศาสตร์พันปี! นักวิทย์ไขปริศนา “ต้นกำเนิดการจูบ” พบเกิดมาแล้ว 20 ล้านปี จากพฤติกรรม “ดูดเห็บ” ของบรรพบุรุษไพรเมต

ต้นกำเนิดการจูบ

ลอนดอน, สหราชอาณาจักร – ลืมภาพโรแมนติกของจูบแรกใต้แสงจันทร์ในนิยายไปได้เลย เมื่อหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดได้พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ความรักของมนุษยชาติอย่างสิ้นเชิง งานวิจัยชิ้นใหม่จากมหาวิทยาลัยวอร์วิก (University of Warwick) ระบุว่า ต้นกำเนิดการจูบ (The Origin of Kissing) ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่พันปีก่อนในยุคเมโสโปเตเมียตามที่เคยเข้าใจ แต่แท้จริงแล้วมันอุบัติขึ้นตั้งแต่ 20 ล้านปีก่อนในหมู่ “บรรพบุรุษตระกูลไพรเมต” และที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าคือ จุดเริ่มต้นของสัมผัสอันดูดดื่มนี้ ไม่ได้มาจากความเสน่หา แต่มาจากการ “ดูดกำจัดปรสิต” และสิ่งสกปรกออกจากร่างกายของกันและกัน

Scientists trace when humans first started kissing, and discover it dates  back 20 million years - - Gamereactor

1. สมมติฐานใหม่ จาก “การหาเห็บ” สู่ “การจูบปาก”

ศาสตราจารย์ อาเดรียโน ลาเมรา (Adriano Lameira) นักจิตวิทยาวิวัฒนาการแห่งมหาวิทยาลัยวอร์วิก ผู้เขียนงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Evolutionary Anthropology ได้เสนอทฤษฎีที่เรียกว่า “สมมติฐานจูบสุดท้ายของผู้จัดแต่งขน” (Groomer’s Final Kiss Hypothesis)

กลไกทางวิวัฒนาการ งานวิจัยชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่น่าสนใจระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและพฤติกรรมทางสังคมของลิงไร้หาง (Great Apes) เมื่อหลายล้านปีก่อน

  • การสูญเสียขน เมื่อบรรพบุรุษไพรเมตเริ่มวิวัฒนาการมาเดินบนพื้นดินและสูญเสียขนหนาเตอะ (Fur) ระยะเวลาที่ต้องใช้ในการ “จัดแต่งขน” (Grooming) เพื่อกำจัดปรสิตจึงลดน้อยลง
  • พิธีกรรมที่ยังคงอยู่ แม้ความจำเป็นในการหาเห็บจะลดลง แต่ความต้องการสร้าง พันธะทางสังคม (Social Bonding) ยังคงอยู่
  • จูบสุดท้าย ขั้นตอนสุดท้ายของการจัดแต่งขนในอดีต คือการที่ผู้ทำหน้าที่แต่งขนจะยื่นปากเข้าไป “ดูด” (Suction) เพื่อดึงเอาปรสิตหรือเศษผิวหนังที่ตายแล้วออกจากร่างกายเพื่อน พฤติกรรมการใช้ริมฝีปากดูดนี้เองที่วิวัฒนาการกลายมาเป็น “การจูบ” เพื่อเป็นการทักทายและแสดงความผูกพันเมื่อการหาเห็บแบบเต็มรูปแบบไม่จำเป็นอีกต่อไป

“การจูบไม่ใช่พฤติกรรมใหม่ที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อแสดงความรักแบบฮอลลีวูด แต่มันคือร่องรอยทางวิวัฒนาการที่หลงเหลือมาจากบรรพบุรุษลิงไร้หางของเรา ที่เปลี่ยนจากการดูแลสุขอนามัยมาเป็นการดูแลความสัมพันธ์” – ศ. อาเดรียโน ลาเมรา กล่าว

2. ไทม์ไลน์ที่เปลี่ยนไป จาก 4,500 ปี สู่ 20 ล้านปี

ก่อนหน้านี้ วงการวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์เชื่อกันว่าหลักฐานการจูบที่เก่าแก่ที่สุดปรากฏอยู่ในจารึกดินเหนียวของชาวซูเมอร์ (Sumerian texts) ในภูมิภาคเมโสโปเตเมียเมื่อประมาณ 4,500 ปีก่อน ซึ่งมักเชื่อมโยงกับพฤติกรรมทางเพศ แต่ทฤษฎีใหม่นี้ได้ขยายขอบเขตเวลาออกไปไกลโพ้น

ยุคไมโอซีน (Miocene Era) การศึกษาระบุว่าพฤติกรรมนี้เริ่มก่อตัวขึ้นพร้อมกับการแยกสายวิวัฒนาการของลิงไร้หาง (Apes) ออกจากลิงมีหาง (Monkeys) เมื่อราว 15-20 ล้านปีก่อน การศึกษาพฤติกรรมของลิงคาปูชินและลิงชิมแปนซีในปัจจุบัน ยังคงแสดงให้เห็นร่องรอยของพฤติกรรมนี้ ซึ่งสนับสนุนว่าการจูบเป็นสัญชาตญาณดิบ (Primal Instinct) มากกว่าวัฒนธรรมที่เรียนรู้

When did kissing evolve and did humans and Neanderthals get off with each  other? New research - Yahoo News UK

3. นัยสำคัญทางสังคม จูบเพื่อกระชับมิตร ไม่ใช่แค่เรื่องเพศ

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือการเหมารวมว่าการจูบต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ (Sexual context) เสมอไป แต่งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นรากฐานที่ลึกซึ้งกว่านั้น

เครื่องมือทางสังคม ในหมู่ บรรพบุรุษตระกูลไพรเมต การจูบทำหน้าที่เป็น “กาวใจ” ในฝูง

  • เมื่อการหาเห็บใช้เวลาน้อยลง การสัมผัสปากต่อปากจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ย่อ (Symbolic Gesture) เพื่อยืนยันสถานะพันธมิตร ลดความขัดแย้ง และสร้างความไว้วางใจภายในกลุ่ม
  • สิ่งนี้อธิบายได้ว่าทำไมนอกจากการจูบแบบคู่รักแล้ว มนุษย์ในหลายวัฒนธรรมยังมีการจูบเพื่อทักทาย (Social Kissing) หรือจูบแก้ม ซึ่งเป็นมรดกของการแสดงความผูกพันที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศ

4. ดาบสองคม วิวัฒนาการของโรคติดต่อ

เหรียญย่อมมีสองด้าน การวิวัฒนาการของ ต้นกำเนิดการจูบ ไม่ได้นำมาแค่ความรักและความผูกพัน แต่ยังเป็นทางด่วนสายพิเศษให้กับไวรัสและแบคทีเรียอีกด้วย

กรณีศึกษาไวรัสเริม (HSV-1) นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า การเปลี่ยนผ่านพฤติกรรมจากการ “ดูดปรสิต” มาสู่ “การจูบปากต่อปาก” (Mouth-to-mouth) เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไวรัสบางชนิด โดยเฉพาะไวรัสเริม (Herpes Simplex Virus 1) สามารถแพร่ระบาดข้ามประชากรและวิวัฒนาการเคียงคู่กับมนุษย์มาจนถึงปัจจุบัน การศึกษาดีเอ็นเอโบราณก่อนหน้านี้เคยชี้ว่าไวรัสเริมแพร่ระบาดหนักในยุคสัมฤทธิ์ แต่ทฤษฎีใหม่นี้บ่งชี้ว่า มนุษย์และบรรพบุรุษของเราอาจแลกเปลี่ยนจุลินทรีย์ผ่านทางน้ำลายมานานกว่านั้นมาก ซึ่งอาจมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของเราให้แข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว

21-million-year-old smooch: The very first kiss occurred before humans,  study says

5. มุมมองต่อสังคมปัจจุบัน ทำไมเรายังจูบกัน?

การค้นพบนี้ตอบคำถามสำคัญที่ว่า “ทำไมการจูบถึงสากล?” (Why is kissing universal?) แม้จะมีบางวัฒนธรรมที่ไม่นิยมการจูบปาก แต่พฤติกรรมการเอาใบหน้ามาสัมผัสหรือดมกลิ่นกันก็ยังปรากฏอยู่ทั่วไป

ในโลกยุคใหม่ที่เทคโนโลยีทำให้เราห่างเหินทางกายภาพมากขึ้น การค้นพบว่า ต้นกำเนิดการจูบ ฝังรากลึกอยู่ในยีนของเรา ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของการสัมผัส (Touch) มนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้อยู่โดดเดี่ยวหน้าจอ แต่ถูกวิวัฒนาการมาให้สัมผัส ดูแล และ “จูบ” เพื่อยืนยันว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้

บทสรุป จูบคือรหัสลับแห่งการอยู่รอด

การเปิดเผยเรื่องราวของ จูบแรกเมื่อ 20 ล้านปีก่อน ไม่ได้ทำลายความโรแมนติกของมนุษย์ แต่กลับเพิ่มมิติความลึกซึ้งให้กับมัน การจูบไม่ใช่เพียงอารมณ์ชั่ววูบ แต่เป็นพันธสัญญาทางชีวภาพที่สืบทอดผ่านกาลเวลา จากการกำจัดเห็บเหาเพื่อความอยู่รอดของเพื่อนร่วมฝูง สู่การจุมพิตเพื่อแสดงความรักของคู่ชีวิต

ครั้งต่อไปที่คุณจูบคนที่คุณรัก ลองนึกถึงการเดินทางอันยาวนานของสัมผัสนี้—การเดินทางที่เริ่มจากป่าดึกดำบรรพ์ ผ่านกระบวนการขัดเกลาทางวิวัฒนาการ จนกลายเป็นภาษากายที่ทรงพลังที่สุดของมนุษยชาติในวันนี้

แหล่งที่มาจาก : am2con