วิกฤต “พายุหิมะถล่มชิลี” คร่า 5 ชีวิต เมื่อเทือกเขาแอนดีสกลายเป็นกับดักมรณะในฤดูใบไม้ผลิ สะท้อนภัยเงียบโลกร้อน

พายุหิมะถล่มชิลี

ซานติอาโก, ชิลี – ฤดูใบไม้ผลิที่ควรจะเต็มไปด้วยดอกไม้บานและแสงแดดอุ่นบนเทือกเขาแอนดีส กลับกลายเป็นฝันร้ายสีขาวโพลนเมื่อ 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา พายุหิมะที่มีความรุนแรงระดับประวัติการณ์ได้พัดถล่มพื้นที่เทือกเขาสูงทางตอนกลางและตอนใต้ของประเทศชิลีอย่างกะทันหัน เปลี่ยนเส้นทางเดินเขายอดนิยมให้กลายเป็นทุ่งสังหารน้ำแข็ง ล่าสุดเจ้าหน้าที่ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ พายุหิมะถล่มชิลี ครั้งนี้แล้วอย่างน้อย 5 ราย ขณะที่ทีมกู้ภัยนับร้อยชีวิตกำลังแข่งกับเวลาและอุณหภูมิที่ดิ่งลงเหว เพื่อค้นหานักท่องเที่ยวที่ยังคงสูญหาย ท่ามกลางคำถามตัวโตจากทั่วโลกว่า “หิมะมรณะ” นี้เกิดขึ้นได้อย่างไรในเดือนพฤศจิกายน

Disaster in Chile: British Woman Among Five Tourists Killed After 'Monster'  Blizzard Slams Torres del Paine | IBTimes UK

1. นาทีวิกฤต จากฟ้าใสสู่นรกสีขาว (Whiteout)

เหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นในบริเวณเขตท่องเที่ยวทางธรรมชาติยอดนิยม ใกล้กับภูเขาไฟบียาร์ริกา (Villarrica) และบางส่วนของกาฮอน เดล ไมโป (Cajón del Maipo) ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักปีนเขาและนักเดินป่า (Trekkers) จากทั่วโลก ตามรายงานระบุว่า ในช่วงเช้าของวันที่เกิดเหตุ สภาพอากาศยังคงแจ่มใสและเหมาะสมแก่การเดินเขาตามปกติของฤดูใบไม้ผลิ

แต่แล้ว เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในช่วงบ่าย เมื่อมวลอากาศเย็นยะเยือกจากขั้วโลกใต้ (Antarctic Cold Front) ได้ปะทะเข้ากับความชื้นในมหาสมุทรแปซิฟิก ก่อตัวเป็นพายุหิมะรุนแรงฉับพลัน (Flash Blizzard) ภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง อุณหภูมิบนยอดเขาลดฮวบจาก 10 องศาเซลเซียส ลงไปแตะ -15 องศาเซลเซียส พร้อมกับลมกรรโชกแรงกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

คำบอกเล่าจากผู้รอดชีวิต

“ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ฟ้าเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีเทาดำ และจู่ๆ เราก็มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสีขาว (Whiteout) เพื่อนของผมเริ่มเดินช้าลงและพูดไม่รู้เรื่อง มันไม่ใช่แค่หนาว แต่มันคือความทรมานที่กัดกินเข้าไปในกระดูก” – มาร์ติน ชมิดต์ นักท่องเที่ยวชาวเยอรมันวัย 34 ปี ผู้รอดชีวิตที่ได้รับการช่วยเหลือลงมาได้ ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นด้วยอาการตื่นตระหนก

2. ปฏิบัติการกู้ภัย การต่อสู้กับธรรมชาติที่โหดร้าย

ทันทีที่ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือ (SOS) ผ่านวิทยุสื่อสารและโทรศัพท์ดาวเทียม ทางการชิลีภายใต้การนำของ กรมป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (SENAPRED) ได้ระดมกำลังตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (GOPE), กองทัพอากาศชิลี, และอาสาสมัครกู้ภัยภูเขา เข้าสู่พื้นที่ทันที

อุปสรรคสำคัญ การกู้ภัยเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากสภาพอากาศปิด (Zero Visibility) ทำให้เฮลิคอปเตอร์กู้ภัยไม่สามารถบินขึ้นเพื่อระบุพิกัดหรือลำเลียงผู้ประสบภัยได้ ทีมกู้ภัยภาคพื้นดินต้องใช้วิธีเดินเท้าฝ่าพายุหิมะเข้าไป โดยมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดหิมะถล่มซ้ำซ้อน

Five tourists killed in snowstorm in Chile's Patagonia | The Straits Times

สถานะล่าสุด

  • ผู้เสียชีวิต ยืนยันแล้ว 5 ราย สาเหตุหลักเกิดจาก ภาวะตัวเย็นเกิน (Hypothermia) และการพลัดหลงตกจากที่สูงเนื่องจากทัศนวิสัยย่ำแย่ เบื้องต้นระบุว่าเป็นนักท่องเที่ยวชาวบราซิล 2 ราย, ชาวอาร์เจนตินา 2 ราย และมัคคุเทศก์ชาวชิลี 1 ราย
  • ผู้สูญหาย ยังมีรายงานผู้สูญหายอีกอย่างน้อย 4-6 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่คาดว่าอาจพยายามขุดหลุมหิมะเพื่อหลบภัย (Snow Cave) หรือติดค้างอยู่ในจุดอับสัญญาณ

3. วิเคราะห์สาเหตุ เมื่อฤดูกาลบิดเบี้ยว (Seasonal Distortion)

สิ่งที่ทำให้เหตุการณ์ พายุหิมะถล่มชิลี ครั้งนี้กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ไม่ใช่เพียงจำนวนผู้เสียชีวิต แต่คือ “ช่วงเวลา” ที่เกิดเหตุ เดือนพฤศจิกายนในซีกโลกใต้เทียบเท่ากับเดือนพฤษภาคมของซีกโลกเหนือ ซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิเข้าสู่ฤดูร้อน การเกิดพายุหิมะระดับมหึมาเช่นนี้จึงถือเป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง (Anomaly)

มุมมองทางอุตุนิยมวิทยา ดร. ริคาร์โด โกเมซ นักภูมิอากาศวิทยาจากมหาวิทยาลัยชิลี อธิบายว่า ปรากฏการณ์นี้เชื่อมโยงโดยตรงกับ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และความไม่เสถียรของกระแสลมเจ็ตสตรีม (Jet Stream)

“เรากำลังเห็นภาวะที่เรียกว่า ‘Polar Vortex breakdown’ หรือการแตกตัวของลมวนขั้วโลกที่แผ่ลงมาเหนือละติจูดกลาง การที่โลกร้อนขึ้นไม่ได้แปลว่าเราจะร้อนตลอดเวลา แต่มันหมายถึงระบบอากาศที่เหวี่ยงรุนแรงขึ้น ร้อนตับแลบสลับกับหนาวเฉียบพลัน สิ่งนี้คือ New Normal ที่นักเดินทางต้องระวัง”

ความเสี่ยงแบบใหม่ ในอดีต นักท่องเที่ยวจะวางแผนหลีกเลี่ยงฤดูหนาว (มิถุนายน-สิงหาคม) เพื่อความปลอดภัย แต่ปัจจุบัน สภาพอากาศสุดขั้วสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทำให้ “ช่วงเวลาปลอดภัย” (Safe Window) ในการท่องเที่ยวธรรมชาติเริ่มเลือนลางและกำหนดได้ยากขึ้น

5 Tourists Killed in 110MPH Blizzard at Remote National Park

4. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและมาตรการรับมือ

เหตุการณ์บน เทือกเขาแอนดีส ครั้งนี้ ส่งแรงสั่นสะเทือนไปยังอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของชิลีและประเทศแถบเทือกเขาสูงทั่วโลก

ข้อถกเถียงเรื่องการปิดอุทยาน มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าทางการชิลีประกาศเตือนภัยล่าช้าหรือไม่? หรือบริษัททัวร์ประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไปเพราะเห็นว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิ? ประเด็นนี้นำไปสู่การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกฎระเบียบการอนุญาตเข้าพื้นที่อุทยานแห่งชาติ โดยอาจต้องบังคับใช้เกณฑ์การพยากรณ์อากาศที่เข้มงวดขึ้น แม้ในวันที่ดูเหมือนอากาศดี

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ชิลีพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ (Adventure Tourism) อย่างมหาศาล ข่าวร้ายนี้อาจทำให้นักท่องเที่ยวชะลอการเดินทาง หรือยกเลิกทริปเดินเขาในช่วงไฮซีซั่นที่กำลังจะมาถึง ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของชุมชนท้องถิ่นและผู้ประกอบการรายย่อย

5. บทเรียนสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก (รวมถึงคนไทย)

เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจราคาแพงสำหรับนักผจญภัยทุกคน รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยที่นิยมเดินทางไปพิชิตยอดเขาในต่างแดนมากขึ้น

หลักการเอาตัวรอด

  1. อย่าไว้ใจฤดูกาล แม้จะไปเที่ยวในฤดูร้อนหรือใบไม้ผลิ ควรเตรียมอุปกรณ์กันหนาวฉุกเฉิน (Emergency Layer) ติดตัวเสมอ
  2. เช็คสภาพอากาศแบบ Real-time อย่าดูแค่พยากรณ์ล่วงหน้า ให้ดูรายงานสภาพอากาศรายชั่วโมงก่อนออกเดิน
  3. จ้างไกด์ท้องถิ่นที่มีความชำนาญ ในสถานการณ์วิกฤต ประสบการณ์ของไกด์คือเส้นบางๆ ระหว่างความเป็นและความตาย
  4. รู้จักอาการ Hypothermia หากเพื่อนร่วมทริปเริ่มพูดไม่ชัด เดินเซ หรือมีพฤติกรรมแปลกๆ ให้สันนิษฐานว่าร่างกายเริ่มสูญเสียความร้อนและต้องรีบปฐมพยาบาลทันที

มุมมองเสริมสำหรับคนไทย แม้ประเทศไทยจะไม่มีพายุหิมะ แต่บทเรียนเรื่อง “สภาพอากาศแปรปรวน” สามารถนำมาปรับใช้กับการเดินป่าในภาคเหนือช่วงฤดูหนาว หรือการท่องเที่ยวทางทะเลที่มีพายุฤดูร้อนได้เช่นกัน ความประมาทเพียงนิดเดียวอาจแลกมาด้วยชีวิต

บทสรุป ความท้าทายใหม่ของมนุษยชาติ

โศกนาฏกรรม พายุหิมะถล่มชิลี ไม่ได้จบลงแค่การนับจำนวนศพหรือการค้นหาผู้สูญหาย แต่มันได้ทิ้งโจทย์ใหญ่ไว้ให้กับมนุษยชาติ คือเราจะใช้ชีวิตและท่องเที่ยวอย่างไรในโลกที่ธรรมชาติไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ในขณะที่ทีมกู้ภัยยังคงทำงานอย่างหนักท่ามกลางหิมะขาวโพลน ครอบครัวของผู้สูญหายยังคงเฝ้ารอด้วยความหวังริบหรี่ เหตุการณ์นี้ตอกย้ำความจริงที่ว่า ไม่ว่าเทคโนโลยีของเราจะก้าวหน้าเพียงใด แต่มนุษย์ยังคงตัวเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับพลังของธรรมชาติ โดยเฉพาะธรรมชาติที่กำลังเกรี้ยวกราดจากการกระทำของมนุษย์เอง

การเดินทางสู่ธรรมชาติครั้งต่อไป อาจต้องพกพา “ความตระหนักรู้” และ “ความเคารพ” ต่อธรรมชาติให้มากกว่าสัมภาระ เพราะในยุคที่อากาศแปรปรวน ความรู้และการเตรียมพร้อมคืออาวุธเดียวที่จะปกป้องชีวิตเราได้

แหล่งที่มาจาก : am2con