เมื่อ “นักโทษออสเตรเลียฟ้องขอสิทธิ์กิน Vegemite” อ้างกฎหมายสิทธิมนุษยชนปกป้อง “รสชาติแห่งมาตุภูมิ”

นักโทษออสเตรเลียฟ้องขอสิทธิ์กิน Vegemite

นักโทษออสเตรเลียฟ้องขอสิทธิ์กิน Vegemite เมลเบิร์น, ออสเตรเลีย – ท่ามกลางความเงียบสงัดของเรือนจำความมั่นคงสูงในรัฐวิกตอเรีย เสียงเรียกร้องสิทธิ์ครั้งใหม่กำลังดังก้องไปทั่วโลก ไม่ใช่การเรียกร้องอิสรภาพ หรือการลดหย่อนโทษ แต่เป็นการต่อสู้เพื่อ “รสชาติที่หายไป” เมื่อ นักโทษออสเตรเลียฟ้องขอสิทธิ์กิน Vegemite สเปรดสีดำรสเค็มอันเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ โดยอ้างว่าการถูกปฏิเสธไม่ให้บริโภคอาหารชนิดนี้ ถือเป็นการละเมิด “สิทธิทางวัฒนธรรม” ขั้นพื้นฐานภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชน คดีนี้ไม่เพียงแต่ท้าทายอำนาจของกรมราชทัณฑ์ แต่ยังเปิดประเด็นถกเถียงระดับสากลว่าด้วยขอบเขตของสิทธิมนุษยชน ความปลอดภัยในเรือนจำ และพลังของอาหารที่เป็นมากกว่าแค่โภชนาการ

Australian murderer sues for right to eat Vegemite in maximum-security  prison - Yahoo News Canada

1. ปฐมบทแห่งคดีความ Andre McKechnie ปะทะ รัฐวิกตอเรีย

ใจกลางของพายุทางกฎหมายลูกนี้คือ Andre McKechnie (อังเดร แมคเคกนี) นักโทษชายวัย 54 ปี ผู้กำลังรับโทษจำคุกตลอดชีวิตในคดีฆาตกรรม เขาได้ยื่นฟ้องต่อ ศาลสูงสุดแห่งรัฐวิกตอเรีย (Supreme Court of Victoria) เพื่อคัดค้านคำสั่งแบน Vegemite ของหน่วยงานราชทัณฑ์รัฐวิกตอเรีย (Corrections Victoria)

ข้ออ้างทางกฎหมายที่น่าสนใจ สิ่งที่ทำให้คดีนี้แตกต่างจากการเรียกร้องเรื่องอาหารทั่วไป คือการที่ McKechnie ไม่ได้อ้างเรื่องความหิวโหย แต่เขาอ้างถึง พ.ร.บ. กฎบัตรสิทธิมนุษยชนและความรับผิดชอบ (Charter of Human Rights and Responsibilities Act) ของรัฐวิกตอเรีย โดยระบุว่า การแบน Vegemite เป็นการกีดกันไม่ให้เขา “เพลิดเพลินกับวัฒนธรรมของตนในฐานะชาวออสเตรเลีย” (Right to enjoy his culture as an Australian)

นอกจากนี้ เขายังกล่าวหาว่าจำเลย (กระทรวงยุติธรรมและความปลอดภัยชุมชน) ละเมิดพ.ร.บ. ราชทัณฑ์ (Corrections Act) โดย “ล้มเหลวในการจัดหาอาหารที่เพียงพอต่อการดำรงสุขภาวะ” ซึ่งเป็นการยกระดับสเปรดทาขนมปังธรรมดา ให้กลายเป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

2. ทำไมต้องแบน? เบื้องหลัง การแบนเวจจีไมท์ในคุก

สำหรับคนภายนอก การห้ามกินแยมทาขนมปังอาจดูเป็นเรื่องไร้สาระ แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญาวิทยา นี่คือมาตรการความมั่นคงที่จำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งมีที่มาจากเหตุผลหลัก 2 ประการ

2.1 ยุทธการลวงจมูกสุนัข (The Olfactory Decoy) Corrections Victoria ระบุชัดเจนว่า สาเหตุหนึ่งของการแบนที่เริ่มมาตั้งแต่ช่วงปี 2006 คือ กลิ่นที่รุนแรงและเป็นเอกลักษณ์ของ Vegemite ซึ่งมีส่วนประกอบของยีสต์สกัดเข้มข้น ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด นักโทษหัวใสในอดีตใช้วิธีนำ Vegemite ไปทาเคลือบหีบห่อบรรจุยาเสพติดที่ลักลอบนำเข้า เพื่อกลบกลิ่นและสร้างความสับสนให้กับ สุนัขดมกลิ่นยาเสพติด (Narcotic detection dogs) ทำให้การตรวจจับของเถื่อนทำได้ยากขึ้น

2.2 นวัตกรรมเหล้าเถื่อน (Prison Hooch Production) ประเด็นที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือศักยภาพทางชีวเคมีของ Vegemite เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่อุดมไปด้วย “ยีสต์” (Yeast) ซึ่งเป็นเชื้อตั้งต้นสำคัญในกระบวนการหมักแอลกอฮอล์

  • กระบวนการ ในเรือนจำมีกระบวนการที่เรียกว่าการทำ “Pruno” หรือไวน์คุก โดยนักโทษจะนำผลไม้ ขนมปัง น้ำตาล และสารที่มีเชื้อหมักมาหมักรวมกันในถุงพลาสติกหรือถังขยะ
  • บทบาทของ Vegemite การเติม Vegemite ลงไปในส่วนผสม ไม่เพียงแต่เพิ่มรสชาติ แต่ยังทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการหมัก (Fermentation) ให้เกิดแอลกอฮอล์ได้เร็วและแรงขึ้น ซึ่ง การลักลอบผลิตแอลกอฮอล์ในคุก นำไปสู่ปัญหาความรุนแรงและการทะเลาะวิวาทที่ควบคุมยาก

Australian prisoner sues for his 'human right' to eat Vegemite

3. วัฒนธรรม vs ความมั่นคง มุมมองเชิงสังคมและกฎหมาย

คดีของ นักโทษออสเตรเลียฟ้องขอสิทธิ์กิน Vegemite ได้จุดชนวนการถกเถียงที่แบ่งความคิดเห็นของสังคมออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน

ฝั่งสนับสนุนสิทธิมนุษยชน นักกฎหมายสิทธิมนุษยชนมองว่า การตีความคำว่า “วัฒนธรรม” ควรครอบคลุมถึงวิถีชีวิตและการกินอยู่ อาหารประจำชาติอย่าง Vegemite เป็นมากกว่าแค่อาหาร แต่มันคือ “Comfort Food” ที่เชื่อมโยงนักโทษเข้ากับโลกภายนอกและความทรงจำในวัยเด็ก ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพจิตและการกลับตัวกลับใจ (Rehabilitation) การตัดขาดสิ่งนี้อย่างสิ้นเชิงอาจถือเป็นการลงโทษที่เกินกว่าเหตุ (Disproportionate punishment)

ฝั่งผู้สนับสนุนเหยื่อและฝ่ายความมั่นคง ในทางตรงกันข้าม กลุ่มผู้พิทักษ์สิทธิ์เหยื่ออาชญากรรมมองว่าการฟ้องร้องนี้เป็นเรื่อง “หยุมหยิมและน่ารังเกียจ” (Frivolous and offensive)

“นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ Vegemite หรือ Nutella แต่มันคือการที่ผู้กระทำความผิดในคดีร้ายแรง พยายามเรียกร้องสิทธิพิเศษที่ตอกย้ำความเจ็บปวดให้กับครอบครัวเหยื่อ” – จอห์น เฮอร์รอน (John Herron) ทนายความและนักรณรงค์เพื่อสิทธิเหยื่ออาชญากรรม ให้สัมภาษณ์สื่อท้องถิ่น

4. บริบทสากล อาหารกับสิทธิในเรือนจำทั่วโลก

เพื่อให้เห็นภาพกว้างขึ้น ต้องเข้าใจว่าความขัดแย้งเรื่องอาหารในเรือนจำไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ละประเทศมีบริบทที่น่าสนใจแตกต่างกัน

  • สหรัฐอเมริกา มีคดีฟ้องร้องมากมายเกี่ยวกับสิทธิในการรับประทานอาหารตามหลักศาสนา (Kosher หรือ Halal) หรืออาหารมังสวิรัติ ซึ่งศาลมักคุ้มครองสิทธินี้อย่างเข้มงวดภายใต้เสรีภาพในการนับถือศาสนา
  • เกาหลีใต้ “กิมจิ” ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ การขาดแคลนกิมจิในเรือนจำเคยนำไปสู่การประท้วง
  • ออสเตรเลีย (รัฐอื่น) ความย้อนแย้งคือ ในขณะที่รัฐวิกตอเรียและควีนส์แลนด์แบน Vegemite แต่เรือนจำในรัฐนิวเซาท์เวลส์ (New South Wales) ซึ่งมีประชากรมากที่สุด กลับอนุญาตให้นักโทษบริโภคได้ โดยมีการควบคุมที่แตกต่างกัน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความไม่เป็นเอกภาพของนโยบายราชทัณฑ์ระดับชาติ

Prisoner sues over right to eat Vegemite: 'Enjoy my…

5. Vegemite มากกว่าแค่แยม ทูตวัฒนธรรมในขวดแก้ว

ทำไมสเปรดสีดำรสขมถึงมีอิทธิพลขนาดนี้? Vegemite ถือกำเนิดขึ้นในปี 1923 โดยนักเคมี Cyril Callister เพื่อทดแทน Marmite ของอังกฤษที่ขาดแคลนในช่วงสงคราม มันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “ความเป็นออสเตรเลีย” (Australian Identity) อย่างแท้จริง

  • มีการประเมินว่ากว่า 80% ของครัวเรือนในออสเตรเลียมี Vegemite ติดตู้กับข้าว
  • เคยเป็นประเด็นดราม่าข้ามชาติ เมื่อออสเตรเลียเข้าแทรกแซงกรณีคาเฟ่ในแคนาดาถูกห้ามขาย Vegemite
  • การอ้างสิทธิ์ในศาลครั้งนี้ จึงเป็นการใช้ “Soft Power” ของอาหารมาเป็นอาวุธทางกฎหมายอย่างชาญฉลาด

บทสรุป คำตัดสินที่จะกำหนดบรรทัดฐานใหม่

คดี นักโทษออสเตรเลียฟ้องขอสิทธิ์กิน Vegemite มีกำหนดพิจารณาคดีในปีหน้า ซึ่งผลลัพธ์ของมันจะส่งแรงกระเพื่อมไปไกลกว่ากำแพงคุก

หากศาลตัดสินให้ McKechnie ชนะ อาจเกิดบรรทัดฐานใหม่ที่ให้นิยาม “สิทธิทางวัฒนธรรม” กว้างขวางขึ้น จนครอบคลุมถึงรสนิยมการบริโภค ซึ่งอาจนำไปสู่การฟ้องร้องในลักษณะเดียวกันอีกมากมาย แต่หากศาลยกฟ้อง ก็จะเป็นการยืนยันว่า “ความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย” ย่อมอยู่เหนือ “ความพึงพอใจส่วนบุคคล” แม้สิ่งนั้นจะเป็นอัตลักษณ์ของชาติก็ตาม

ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร คดีนี้ได้เปิดเผยให้เห็นถึงความซับซ้อนของการบริหารจัดการเรือนจำในโลกสมัยใหม่ ที่ต้องรักษาสมดุลอันเปราะบางระหว่างการลงโทษ การรักษาความปลอดภัย และการเคารพในความเป็นมนุษย์—แม้จะเป็นมนุษย์ที่สังคมตัดสินว่ามีความผิดแล้วก็ตาม

แหล่งที่มาจาก : am2con