วันที่ 14 พฤศจิกายน 2025 | นิวเดลี, อินเดีย – กรุงนิวเดลีและเขตปริมณฑล (NCR) ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรกว่า 30 ล้านคน กำลังจมอยู่ภายใต้ม่านหมอกควันพิษหนาทึบอีกครั้งในวันนี้ (14 พ.ย.) โดยดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) ในหลายพื้นที่พุ่งทะลุระดับ 500 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ปลอดภัยขององค์การอนามัยโลก (WHO) กว่า 100 เท่า สภาวะ “อากาศเป็นพิษระดับร้ายแรง” (Severe-plus) นี้ ได้บีบให้ทางการต้องประกาศใช้มาตรการฉุกเฉินขั้นสูงสุด รวมถึงการสั่งปิดโรงเรียนทุกแห่งและเปลี่ยนไปใช้การเรียนการสอนแบบออนไลน์ พร้อมทั้งออกคำเตือนเด็ดขาดให้เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวงดการออกจากบ้านโดยสิ้นเชิง
ปรากฏการณ์ “เดลีสำลักฝุ่น” นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นวิกฤตประจำปีที่เกิดขึ้นซ้ำซากทุกฤดูหนาว ทว่าความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี และความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องของมาตรการแก้ไขปัญหา ได้เปลี่ยนจากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ให้กลายเป็นวิกฤตด้านสาธารณสุขที่เร่งด่วน วิกฤตด้านเศรษฐกิจที่บั่นทอนผลิตภาพ และที่สำคัญที่สุด คือวิกฤตด้านธรรมาภิบาล ที่สะท้อนการขาดเจตจำนงทางการเมือง (Political Will) ที่แท้จริงในการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ

“Severe Plus” สถานการณ์ปัจจุบันในเมืองหลวงที่หายใจไม่ออก
เช้าวันนี้ ประชาชนในเดลีตื่นขึ้นมาพบกับทัศนวิสัยที่เลวร้ายจนแทบมองไม่เห็นอาคารที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตร กลิ่นไหม้ควันไฟคละคลุ้งไปทั่ว และอาการแสบตา เจ็บคอ หายใจติดขัด กลายเป็นเรื่องปกติใหม่ของผู้อยู่อาศัย
ข้อมูลจาก คณะกรรมการควบคุมมลพิษกลาง (CPCB) ของอินเดีย รายงานค่า AQI เฉลี่ย 24 ชั่วโมงในเดลี อยู่ที่ 488 (ระดับ “ร้ายแรง”) แต่สถานีตรวจวัดหลายแห่งในเขต NCR เช่น อานันท์ วิหาร (Anand Vihar) และ จาฮังกีร์ปูรี (Jahangirpuri) บันทึกค่า AQI ได้สูงถึง 550-600
ในทางการแพทย์ ค่า AQI ที่สูงกว่า 400 ถือเป็นอันตรายต่อผู้ที่มีสุขภาพดี และเป็นอันตรายอย่างยิ่งยวดต่อกลุ่มเปราะบาง
“นี่ไม่ใช่หมอก นี่คือห้องรมแก๊สกลางแจ้ง” ดร. อาร์วินด์ กุมาร ศัลยแพทย์ทรวงอกอาวุโสจากโรงพยาบาล Sir Ganga Ram ให้สัมภาษณ์กับ BBC “ปอดของเด็กๆ ในเดลีกำลังถูกทำลายอย่างถาวร เรากำลังเห็นผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจและโรคหัวใจเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในห้องฉุกเฉินทุกวัน นี่คือภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเต็มรูปแบบ”
เพื่อตอบสนองต่อวิกฤต คณะกรรมการจัดการคุณภาพอากาศ (CAQM) ได้สั่งการบังคับใช้มาตรการภายใต้ แผนรับมือแบบแบ่งระดับ (GRAP) ระยะที่ 4 ซึ่งเป็นขั้นสูงสุด โดยมีผลบังคับทันที
- สั่งปิดสถาบันการศึกษา โรงเรียน วิทยาลัย และสถาบันการศึกษาทั้งหมดในเดลี-NCR ต้องปิดและเปลี่ยนเป็นรูปแบบออนไลน์
- ระงับการก่อสร้าง หยุดกิจกรรมการก่อสร้างและรื้อถอนที่ไม่จำเป็นทั้งหมด
- ห้ามรถบรรทุก ห้ามรถบรรทุกที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล (ยกเว้นที่ขนส่งสินค้าจำเป็น) เข้าสู่เดลี
- มาตรการจำกัดยานพาหนะ เตรียมความพร้อมสำหรับการใช้มาตรการ “สลับวันวิ่ง” (Odd-Even Scheme) สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล
แม้มาตรการเหล่านี้จะดูเข้มงวด แต่สำหรับชาวเดลีจำนวนมาก มันเป็นเพียง “ยาแก้ปวด” ที่ปลายเหตุ ซึ่งมาช้าเกินไปและไม่สามารถแก้ปัญหาที่หยั่งรากลึกได้
ถอดรหัส “ค็อกเทล” มรณะ อะไรคือสาเหตุที่แท้จริง?
วิกฤตมลพิษทางอากาศ เดลี ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็น “ค็อกเทล” อันตรายที่ผสมผสานกันระหว่างปัจจัยทางธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ โดยมีปัจจัยสำคัญดังนี้
1. การเผาตอซังข้าว (Stubble Burning) ผู้ร้ายหลักตามฤดูกาล
ต้นตอที่ชัดเจนที่สุดและเป็นประเด็นถกเถียงมากที่สุดในเวลานี้ คือ การเผาตอซังข้าว ในรัฐข้างเคียงอย่าง รัฐปัญจาบ และ รัฐหรยาณา
หลังฤดูเก็บเกี่ยวข้าวในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เกษตรกรมีหน้าต่างเวลาที่สั้นมาก (เพียง 2-3 สัปดาห์) ในการเตรียมพื้นที่เพาะปลูกข้าวสาลีในฤดูถัดไป การเผาตอซังข้าวที่เหลืออยู่จึงเป็นวิธีที่ “เร็วที่สุดและถูกที่สุด” ในการเคลียร์พื้นที่เพลิงไหม้หลายหมื่นจุดในรัฐเหล่านี้ได้ปล่อย PM2.5 เดลี (ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่อันตรายที่สุด) จำนวนมหาศาลเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ
ข้อมูลจากดาวเทียมของ NASA ในช่วง 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา ยืนยันว่ามี “จุดความร้อน” (Hotspots) ที่เกิดจากการเผาในรัฐปัญจาบมากกว่า 3,000 จุดในวันเดียว และเมื่อรวมกับทิศทางลมที่พัดจากตะวันตกเฉียงเหนือ ควันพิษทั้งหมดจึงถูกหอบมาปกคลุมเดลีโดยตรง
“คุณไม่สามารถตำหนิเกษตรกรได้ทั้งหมด” ดร. สุนิตา นาราอิน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม (CSE) กล่าว “พวกเขากำลังเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจ รัฐบาลล้มเหลวในการจัดหาทางเลือกที่ยั่งยืนและคุ้มค่าทางเศรษฐกิจให้พวกเขา เช่น เครื่องจักร ‘Happy Seeder’ (เครื่องหยอดเมล็ดโดยไม่ต้องเผา) หรือการสร้างโรงงานแปรรูปชีวมวลในปริมาณที่เพียงพอ”

2. ปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยา (Meteorological Factors)
ในช่วงต้นฤดูหนาว สภาพอากาศของเดลีจะกลายเป็น “กับดัก” มลพิษโดยธรรมชาติ
- ความเร็วลมต่ำ ลมที่สงบนิ่งทำให้มลพิษไม่สามารถกระจายตัวหรือถูกพัดพาไปที่อื่นได้
- ปรากฏการณ์อุณหภูมิผกผัน (Temperature Inversion) อากาศเย็นที่หนักกว่าจะถูกกักอยู่ใกล้พื้นดินโดยมีชั้นอากาศอุ่นปิดทับอยู่ด้านบน ทำหน้าที่เหมือน “ฝาชี” ที่ครอบเมืองไว้ ทำให้มลพิษทั้งหมดสะสมตัวอยู่ใกล้กับที่ที่ผู้คนหายใจ
3. มลพิษที่เกิดจากเมือง (Urban Pollution)
แม้การเผาตอซังจะเป็นตัวกระตุ้นวิกฤต แต่เดลีเองก็มี “ฐานมลพิษ” (Base Pollution) ที่สูงอยู่ตลอดทั้งปีจากแหล่งกำเนิดในท้องถิ่น ซึ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลง
- การปล่อยไอเสียจากยานพาหนะ เดลีมีจำนวนรถยนต์จดทะเบียนมหาศาล การจราจรที่ติดขัดทำให้เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์
- ฝุ่นจากการก่อสร้าง การเติบโตของเมืองอย่างรวดเร็วทำให้มีการก่อสร้างอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมักไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบการควบคุมฝุ่น
- มลพิษจากภาคอุตสาหกรรม โรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่รอบนอกเมืองยังคงปล่อยมลพิษ
- การเผาขยะในที่โล่ง เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วไปในชุมชนแออัด
เมื่อมลพิษพื้นฐานเหล่านี้รวมเข้ากับควันจากการเผาตอซัง และถูกกักไว้ด้วยสภาพอากาศ ผลลัพธ์ที่ได้คือ “อากาศเป็นพิษระดับร้ายแรง” ที่เมืองหลวงแห่งนี้กำลังเผชิญ
“เกมโยนบาป” วิกฤตธรรมาภิบาลและความขัดแย้งทางการเมือง
ในขณะที่ประชาชนกำลังสำลักฝุ่น สิ่งที่น่าเจ็บปวดไม่แพ้กันคือการที่นักการเมืองมัวแต่เล่น “เกมโยนบาป” (Blame Game) ซึ่งสะท้อนถึงวิกฤตด้านธรรมาภิบาลที่ฝังรากลึก
ความขัดแย้งนี้ซับซ้อนและแบ่งออกเป็นหลายขั้ว
- รัฐบาลเดลี (พรรค AAP) vs. รัฐปัญจาบ (พรรค AAP) นี่คือความย้อนแย้งที่สุด ในอดีต พรรค Aam Aadmi (AAP) ซึ่งบริหารเดลี มักจะกล่าวโทษรัฐปัญจาบ (ซึ่งขณะนั้นบริหารโดยพรรคอื่น) ว่าเป็นต้นเหตุของการเผาตอซัง แต่ในปัจจุบัน พรรค AAP ได้ครองอำนาจทั้งในเดลีและปัญจาบ ทำให้พวกเขาไม่สามารถโยนความผิดให้ใครได้ง่ายๆ รัฐบาลเดลีจึงพยายามเน้นย้ำว่าการเผาในปัญจาบลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ (แม้ข้อมูลดาวเทียมจะยังแสดงตัวเลขที่สูงมาก) และชี้ไปที่รัฐหรยาณา (ที่บริหารโดยพรรค BJP) แทน
- พรรค AAP vs. รัฐบาลกลาง (พรรค BJP) รัฐบาลกลาง ซึ่งนำโดยพรรค BJP ของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี มักจะวิพากษ์วิจารณ์การจัดการของรัฐบาลเดลีว่าไม่มีประสิทธิภาพ ในขณะที่รัฐบาลเดลีก็โต้กลับว่ารัฐบาลกลางไม่ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินที่เพียงพอแก่เกษตรกรในรัฐปัญจาบเพื่อหยุดการเผา
- ศาลฎีกา (Supreme Court) ในฐานะผู้คุมกฎ ท่ามกลางความล้มเหลวของฝ่ายบริหาร ศาลฎีกาของอินเดียต้องเข้ามามีบทบาทซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในการพิจารณาคดีล่าสุด ผู้พิพากษาได้ตำหนิทุกฝ่ายอย่างรุนแรง
“นี่เป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของกลไกของรัฐ!” ผู้พิพากษาศาลฎีกากล่าวในห้องพิจารณาคดี “ทุกปีมันเกิดขึ้นเหมือนเดิม ประชาชนในเดลีกำลังถูกละเมิดสิทธิในการมีชีวิต (Right to Life) ทำไมรัฐบาลต่างๆ ถึงไม่สามารถดำเนินการล่วงหน้าได้? เราต้องการวิธีแก้ปัญหา ไม่ใช่ข้อแก้ตัว”
ความขัดแย้งทางการเมืองนี้ส่งผลให้ไม่มีการวางแผนระยะยาวที่เป็นเอกภาพ การแก้ปัญหาจึงเป็นเพียงการ “ดับไฟ” ที่ปลายเหตุเมื่อวิกฤตมาถึงแล้วเท่านั้น

ผลกระทบที่มองไม่เห็น ต้นทุนทางเศรษฐกิจและสุขภาพที่อินเดียต้องจ่าย
ม่านหมอกควันนี้ไม่ได้บดบังเพียงทัศนวิสัย แต่ยังบดบังอนาคตทางเศรษฐกิจและสุขภาพของอินเดียด้วย
ต้นทุนด้านสุขภาพ (Health Costs)
ผลกระทบสุขภาพจากมลพิษในเดลี นั้นร้ายแรงและยาวนาน PM2.5 สามารถทะลุผ่านปอดเข้าสู่กระแสเลือด ก่อให้เกิด
- ในระยะสั้น การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน, โรคหอบหืดกำเริบ, โรคหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง
- ในระยะยาว โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD), มะเร็งปอด, และการพัฒนาทางสติปัญญาที่บกพร่องในเด็ก
รายงาน “State of Global Air” ชี้ว่า มลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในอินเดียหลายแสนคนในแต่ละปี และการศึกษาในวารสาร The Lancet ระบุว่า มลพิษในเดลีอาจลดอายุขัยเฉลี่ยของประชาชนลงได้ถึง 10-12 ปี
ต้นทุนทางเศรษฐกิจ (Economic Costs)
ในขณะที่อินเดียกำลังพยายามวางตำแหน่งตัวเองเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก แต่ภาพของเมืองหลวงที่จมอยู่ในมลพิษได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง
- การสูญเสียผลิตภาพ (Productivity Loss) การสั่งให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน (WFH) และจำนวนวันที่พนักงานลาป่วยที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางเศรษฐกิจโดยตรง
- ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ควรจะเป็นฤดูท่องเที่ยวสูงสุดของเดลี แต่วิกฤตมลพิษทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากยกเลิกการเดินทาง
- ความเชื่อมั่นของนักลงทุน บริษัทต่างชาติและนักลงทุนลังเลที่จะส่งผู้บริหารและครอบครัวมาประจำการในเมืองที่มีสภาพแวดล้อมเป็นพิษ ซึ่งส่งผลต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
- การอพยพของแรงงานทักษะสูง “ผู้ลี้ภัยมลพิษ” (Pollution Refugees) กำลังกลายเป็นปรากฏการณ์ที่เพิ่มขึ้น โดยครอบครัวชนชั้นกลางและผู้มีทักษะสูง เลือกที่จะย้ายออกจากเดลีไปยังเมืองที่สะอาดกว่า เช่น บังกาลอร์ หรือย้ายออกนอกประเทศ
ธนาคารโลก (World Bank) ประเมินว่า มลพิษทางอากาศสร้างความเสียหายต่อ GDP ของอินเดียคิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในแต่ละปี
เมื่อเพื่อนบ้าน (อาเซียน) ก็เผชิญชะตากรรมเดียวกัน
แม้ว่า สาเหตุฝุ่น PM2.5 ในเดลีคืออะไร จะมีลักษณะเฉพาะตัว (การเผาตอซังข้าวในที่ราบลุ่มแม่น้ำคงคา) แต่ปรากฏการณ์นี้ก็มีความคล้ายคลึงอย่างน่าทึ่งกับ “วิกฤตหมอกควันข้ามพรมแดน” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในขณะที่เดลีกำลังสำลักควันจากการเผาตอซังข้าว ประเทศไทย (โดยเฉพาะภาคเหนือ), สิงคโปร์ และมาเลเซีย ก็ต้องเผชิญกับหมอกควันพิษจากการเผาในภาคเกษตรกรรม (เช่น ไร่ข้าวโพด) และการเผาป่าพรุในอินโดนีเซียและประเทศเพื่อนบ้านเป็นประจำ
ความคล้ายคลึงกันอยู่ที่ “ความล้มเหลวด้านธรรมาภิบาล” เช่นเดียวกัน
- การขาดความร่วมมืออย่างจริงจังระหว่างประเทศ/รัฐ
- การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอต่อผู้ประกอบการรายใหญ่
- การล้มเหลวในการให้แรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนแก่เกษตรกรรายย่อย
บทเรียนจากเดลีจึงเป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญสำหรับอาเซียนว่า หากปล่อยให้ผลประโยชน์ทางการเมืองระยะสั้นอยู่เหนือสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม วิกฤตการณ์ก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
บทสรุป อนาคตในม่านหมอก
รัฐบาลอินเดียแก้ปัญหามลพิษอย่างไร? คำตอบในปัจจุบันคือ การใช้มาตรการฉุกเฉินที่ปลายเหตุ เช่น การปิดโรงเรียนและการห้ามก่อสร้าง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่เพียงพอ
การที่ โรงเรียนปิด เดลี กลายเป็นข่าวพาดหัวทุกปี สะท้อนว่าวิกฤตนี้ได้กลายเป็นเรื่อง “ปกติใหม่” (New Normal) ที่น่าอดสู การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่เจ็บปวดแต่จำเป็น
- การปฏิวัติภาคเกษตรกรรม ลงทุนอย่างจริงจังในการสนับสนุนเครื่องจักรกลทางการเกษตร (เช่น Happy Seeder) และสร้างตลาดที่มั่นคงสำหรับชีวมวล (ตอซังข้าว) เพื่อเปลี่ยน “ขยะ” ให้เป็น “รายได้” สำหรับเกษตรกร
- การเปลี่ยนผ่านพลังงาน เร่งรัดการเปลี่ยนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาดในภาคการขนส่งและอุตสาหกรรม
- การวางผังเมือง ควบคุมการขยายตัวของเมืองที่ไร้ทิศทาง และบังคับใช้มาตรฐานการก่อสร้างสีเขียวอย่างจริงจัง
- เจตจำนงทางการเมือง ที่สำคัญที่สุด คือต้องมีการประสานงานที่เป็นเอกภาพระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น โดยก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมืองเพื่อประโยชน์ด้านสาธารณสุข
ตราบใดที่ “เกมโยนบาป” ยังคงดำเนินต่อไป และการแก้ปัญหายังคงเป็นเพียงปฏิกิริยาตอบสนองรายปี ประชากร 30 ล้านคนในเดลีก็จะต้องตื่นขึ้นมา “สำลักฝุ่น” ใน “ห้องรมแก๊ส” แห่งนี้ต่อไป โดยไม่เห็นอนาคตที่สดใสรออยู่ปลายอุโมงค์
แหล่งที่มาจาก : am2con