อิสตันบูล, ตุรกี – (13 พฤศจิกายน 2025) เปลวเพลิงและกลุ่มควันพิษสีดำทมิฬที่พวยพุ่งเหนือเขตอุตสาหกรรม “เกบเซ” (Gebze) ชานเมืองอิสตันบูล เมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 12 พฤศจิกายน ไม่ใช่เพียงอุบัติเหตุอันน่าสลดใจ แต่คือภาพสะท้อนล่าสุดของ “วิกฤตเชิงระบบ” ที่กัดกินภาคการผลิตของตุรกี เหตุการณ์ ไฟไหม้โกดังน้ำหอมในตุรกี ที่โรงงานผลิตเครื่องสำอางและน้ำหอม “Aura Cosmetics” ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6 ศพ บาดเจ็บสาหัสอีก 9 ราย และขณะนี้ทางการกำลัง เร่งสอบสวนสาเหตุ
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ ซึ่งเกิดขึ้นในโรงงานที่ผลิตสินค้าป้อนให้กับแบรนด์ค้าปลีกรายใหญ่ในยุโรป ได้จุดชนวนความโกรธแค้นในหมู่ประชาชนและสหภาพแรงงานอีกครั้ง โดยชี้ว่านี่ไม่ใช่ “อุบัติเหตุ” แต่เป็น “การฆาตกรรมทางอุตสาหกรรม” (Industrial Homicide) ที่เกิดจากการบังคับใช้ มาตรฐานความปลอดภัยโรงงาน ที่หละหลวม และการมุ่งเน้นผลกำไรเหนือชีวิตมนุษย์
บทความนี้จะวิเคราะห์เชิงลึกว่า เหตุใดตุรกีจึงกลายเป็น “สุสาน” ของแรงงานอุตสาหกรรม, อะไรคือความล้มเหลวที่แท้จริงเบื้องหลังเปลวเพลิง, และโศกนาฏกรรมครั้งนี้จะส่งแรงกระเพื่อมไปยังห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) ที่เชื่อมโยงกับยุโรปอย่างไร
![]()
‘นรกบนดิน’ ลำดับเหตุการณ์และจุดจบที่ทางหนีไฟ
เหตุเพลิงไหม้เริ่มต้นขึ้นในเวลาประมาณ 0430 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนกะของคนงาน ข้อมูลจากสำนักงานผู้ว่าการนครอิสตันบูล (Istanbul Governor’s Office) และคำให้การของพยาน ระบุถึงความโกลาหลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
- จุดระเบิด พยานได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นหลายครั้งจากส่วนจัดเก็บวัตถุดิบ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเต็มไปด้วย แอลกอฮอล์ ตัวทำละลาย (Solvents) และสารเคมีไวไฟสูง ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของน้ำหอม
- การลุกลามที่รวดเร็ว เปลวไฟลุกลามอย่างรวดเร็วในอาคาร 5 ชั้น นักผจญเพลิงกว่า 150 นาย ถูกส่งไปยังที่เกิดเหตุ แต่การเข้าถึงเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากโครงสร้างอาคารเริ่มทรุดตัว
- โศกนาฏกรรมที่ทางหนีไฟ รายงานที่น่าสลดใจที่สุดจากทีมกู้ภัยระบุว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ราย (ซึ่งเป็นแรงงานหญิง 4 ราย) ถูกพบใกล้กับทางออกฉุกเฉินด้านหลัง ซึ่งมีรายงานว่า “ถูกล็อกจากด้านนอก” หรือ “ถูกกีดขวางด้วยสินค้า”
“พวกเขาไม่มีโอกาสหนี” อาลี ยิลมาซ (Ali Yilmaz) พนักงานกะกลางคืนที่รอดชีวิต กล่าวทั้งน้ำตา “เราเคยร้องเรียนเรื่องทางหนีไฟที่ถูกบล็อกหลายครั้ง แต่ไม่มีใครฟัง พวกเขาห่วงเรื่องกันของหายมากกว่าชีวิตคน”
‘Aura Cosmetics’ โรงงานที่ติดธงแดงด้านความปลอดภัย
การ เร่งสอบสวนสาเหตุ เบื้องต้นโดยกระทรวงแรงงานและประกันสังคมของตุรกี (Ministry of Labour and Social Security) ได้มุ่งเป้าไปที่ความบกพร่องด้านความปลอดภัยที่ชัดเจนของโรงงาน “Aura Cosmetics”
อุตสาหกรรมเครื่องสำอางตุรกี เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าการส่งออกหลายพันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะไปยังยุโรปและตะวันออกกลาง แต่การเติบโตนี้มาพร้อมกับ “การตัดมุม” ด้านความปลอดภัย
- การละเมิดที่ถูกเพิกเฉย สหภาพแรงงานอิสระ (เช่น DISK และ KESK) ได้เปิดเผยบันทึกการตรวจสอบที่แสดงว่า “Aura Cosmetics” เคยถูกปรับหลายครั้งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ฐาน
- การจัดเก็บสารเคมีอันตราย (Hazardous Materials) ผิดประเภทและเกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด
- ระบบดับเพลิงอัตโนมัติ (Sprinkler System) ไม่ทำงาน
- ขาดการซ้อมหนีไฟที่มีประสิทธิภาพ
- แรงงานที่เปราะบาง ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นแรงงานตามสัญญาจ้างรายวัน และบางส่วนเป็นผู้อพยพชาวซีเรีย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักไม่กล้าร้องเรียนเรื่องความปลอดภัย เพราะกลัวถูกเลิกจ้าง
“นี่ไม่ใช่ความผิดพลาด นี่คือนโยบาย” อาร์ซู เซอร์เกโซกลู (Arzu Cerkezoglu) ประธานสมาพันธ์สหภาพแรงงานปฏิวัติแห่งตุรกี (DISK) กล่าวอย่างดุดัน “เมื่อคุณรวมเอาการขาดการตรวจสอบ, ความโลภของผู้ประกอบการ, และแรงงานที่ไร้สิทธิ์เข้าด้วยกัน ผลลัพธ์ก็คือความตาย นี่คืออาชญากรรม ไม่ใช่อุบัติเหตุ”

วัฒนธรรม ‘ลอยนวลพ้นผิด’ ประวัติศาสตร์บาดแผลของแรงงานตุรกี
เหตุการณ์ ไฟไหม้ ตุรกี ครั้งนี้ ไม่ใช่เหตุการณ์เดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบ (Pattern) ที่น่าสะพรึงกลัว ตุรกีมีสถิติการเสียชีวิตในที่ทำงานที่เลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปและกลุ่มประเทศ OECD
ประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอย
- โศกนาฏกรรมเหมืองโซมา (Soma Mine Disaster, 2014) เหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ตุรกี คร่าชีวิตคนงานเหมือง 301 ศพ ซึ่งก็เกิดจากการละเมิดความปลอดภัยและการระเบิดของมีเทน
- ไฟไหม้โรงงาน Esenyurt (2012) คนงาน 11 คน เสียชีวิตในเต็นท์ที่พักคนงานก่อสร้างที่ถูกไฟไหม้ โดยที่ประตูถูกล็อกจากด้านนอก
- การเสียชีวิตในอู่ต่อเรือ (Tuzla Shipyards) เขตอุตสาหกรรม Tuzla (ไม่ไกลจาก Gebze) มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เรื่องคนงานเสียชีวิตหลายสิบคนจากอุบัติเหตุที่ป้องกันได้
ทำไมกฎหมายถึงไม่ทำงาน? แม้ว่าตุรกีจะรับรองกฎหมายความปลอดภัยแรงงานจำนวนมากเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของสหภาพยุโรป (EU) เพื่อหวังการเข้าเป็นสมาชิก แต่ปัญหาอยู่ที่ “การบังคับใช้”
ดร. มูรัต โอซเวรี (Dr. Murat Ozveri) ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแรงงาน มหาวิทยาลัยอังการา อธิบายว่า “เรามีกฎหมายบนกระดาษที่ดี แต่ในทางปฏิบัติ ‘วัฒนธรรมการไม่ต้องรับผิด’ (Impunity) นั้นแข็งแกร่งกว่า ผู้ตรวจการโรงงานมีไม่เพียงพอ, ถูกกดดันทางการเมือง, และค่าปรับก็น้อยนิดจนเจ้าของโรงงานยอมจ่ายค่าปรับ ดีกว่าลงทุนในระบบความปลอดภัย”
ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ‘Made in Turkey’ เปื้อนเลือด?
มุมมองที่สำคัญที่สุดในระดับสากล คือ อุตสาหกรรมเครื่องสำอางตุรกี ไม่ได้ดำเนินการในสุญญากาศ พวกเขาคือซัพพลายเออร์หลัก (OEM) ให้กับแบรนด์ดังในยุโรปจำนวนมาก (โดยเฉพาะแบรนด์ Fast-Fashion ที่ขยายไลน์มาทำเครื่องสำอาง และแบรนด์ Drugstore)
โศกนาฏกรรมครั้งนี้จึงท้าทายโดยตรงต่อคำมั่นสัญญาด้าน “ความยั่งยืน” (Sustainability) และ “จริยธรรมห่วงโซ่อุปทาน” (Ethical Supply Chain) ของแบรนด์ยุโรปเหล่านั้น
- แรงกดดันจาก EU กฎหมายใหม่ของสหภาพยุโรปว่าด้วย “Due Diligence” (การตรวจสอบสถานะอย่างรอบคอบ) บังคับให้บริษัทในยุโรปต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนและความปลอดภัยในห่วงโซ่อุปทานของตน
- คำถามถึงผู้ตรวจสอบ (Auditors) โรงงานอย่าง “Aura Cosmetics” มักจะผ่านการตรวจสอบทางสังคม (Social Audits) จากบริษัทภายนอกได้อย่างไร? นี่แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของการตรวจสอบแบบ “ติ๊กถูก” ที่ไม่สามารถจับการละเมิดที่แท้จริงได้
- ผู้บริโภคชาวยุโรป กำลังเผชิญกับความจริงที่ว่า น้ำหอมราคาถูกที่พวกเขาซื้อ อาจมีต้นทุนที่ต้องจ่ายด้วยชีวิตของคนงานในตุรกี
องค์กร Clean Clothes Campaign ซึ่งปกติเน้นเรื่องสิ่งทอ แต่ก็ติดตามเรื่องสารเคมีในโรงงานเช่นกัน ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้แบรนด์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด (ซึ่งยังไม่ถูกเปิดเผยชื่อ) ต้องแสดงความรับผิดชอบและชดเชยครอบครัวเหยื่อทันที

บทสรุป เปลวไฟแห่งความยุติธรรมที่ยังรอวันปะทุ
สาเหตุไฟไหม้โกดังน้ำหอมในตุรกี ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ไฟฟ้าลัดวงจรหรือความประมาทของคนงาน แต่คือ “ความประมาทเชิงโครงสร้าง” (Structural Negligence) ที่ถูกปล่อยปละละเลยมานานหลายทศวรรษ
รัฐบาลตุรกีภายใต้การนำของประธานาธิบดี ได้ออกมาแสดงความเสียใจและให้คำมั่นว่าจะ “จับกุมผู้รับผิดชอบ” (ซึ่งขณะนี้มีผู้จัดการโรงงานและหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัย 3 คนถูกควบคุมตัว) แต่สำหรับสหภาพแรงงานและครอบครัวผู้เสียชีวิต 6 ศพ นี่เป็นเพียงการ “จับแพะ” (Scapegoating)
ตราบใดที่รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เปราะบาง และการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ มากกว่าการบังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้องพลเมืองของตนเอง เปลวไฟที่เกบเซ ก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย โศกนาฏกรรมครั้งนี้คือสัญญาณเตือนที่ดังที่สุดไปยังบรัสเซลส์ ลอนดอน และปารีส ว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องตรวจสอบอย่างจริงจังว่า “Made in Turkey” นั้นปลอดภัยและมีจริยธรรมอย่างแท้จริงหรือไม่
แหล่งที่มาจาก : am2con