เรือขนผู้อพยพล่ม (ดับ 1 หาย 45) พรมแดนไทย-มาเลเซีย—สัญญาณเปิด ‘ฤดูล่องเรือมรณะ’ โรฮีนจา และการฟื้นคืนชีพของขบวนการค้ามนุษย์

เรือขนผู้อพยพล่ม

สตูล, ประเทศไทย/กัวลาลัมเปอร์, มาเลเซีย – (13 พฤศจิกายน 2025) โศกนาฏกรรมล่าสุดในทะเลอันดามัน ตอกย้ำวิกฤตมนุษยธรรมที่ถูกเพิกเฉย เมื่อ เรือขนผู้อพยพล่ม ในน่านน้ำที่ยังไม่ชัดเจนบริเวณ พรมแดน ไทย-มาเลเซีย ใกล้เกาะตะรุเตาและเกาะลังกาวี เมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 12 พฤศจิกายน ส่งผลให้ยืนยันผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ศพ (เป็นเด็กชาย) ช่วยเหลือได้ 14 คน และสูญหายอีกกว่า 45 คน การค้นหายังคงดำเนินไปอย่างสิ้นหวังท่ามกลางกระแสคลื่นลม

เหตุการณ์เรือล่มครั้งนี้ไม่ใช่แค่อุบัติเหตุทางทะเล แต่คือ “สัญญาณเปิดฉาก” ที่น่าสะพรึงกลัวของ “ฤดูล่องเรือ” (Sailing Season) ประจำปี 2025-2026 ที่ซึ่ง ผู้อพยพ ชาวโรฮีนจาหลายพันคนกำลังเดิมพันชีวิตหลบหนีออกจากค่ายกักกันในบังกลาเทศและรัฐยะไข่ของเมียนมาร์ บทความนี้จะวิเคราะห์เชิงลึกว่า เหตุใดโศกนาฏกรรมนี้จึงเป็นภาพสะท้อนของการฟื้นคืนชีพอย่างเต็มรูปแบบของ ขบวนการค้ามนุษย์ ในภูมิภาค และเป็นบทพิสูจน์ความล้มเหลวของกลไกอาเซียนในการจัดการต้นตอของปัญหา

Eleven dead, hundreds missing after refugee boat sinks off Malaysian coast

สถานการณ์ล่าสุด การค้นหาที่แข่งกับเวลาใน ‘พื้นที่สีเทา’ ทางทะเล

ณ เวลา 1400 น. ของวันที่ 13 พฤศจิกายน ปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัย (SAR) ยังคงดำเนินไปอย่างยากลำบาก โดยเป็นการประสานงานที่ตึงเครียดระหว่างสองประเทศ

  • ผู้ประสบเหตุ เรือประมงดัดแปลงขนาดเล็กลำหนึ่ง บรรทุกผู้อพยพ (คาดว่าเป็นชาวโรฮีนจา) ทั้งหมดประมาณ 60 คน
  • จุดเกิดเหตุ บริเวณรอยต่อทางทะเลระหว่างอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล ของไทย และเกาะลังกาวี รัฐเปอร์ลิส ของมาเลเซีย ซึ่งเป็นจุดที่ทราบกันดีว่ามีการลาดตระเวนที่ทับซ้อนกัน
  • ผู้รอดชีวิต 14 คน (ชาย 10, หญิง 2, เด็ก 2) ถูกช่วยเหลือโดยเรือประมงไทย และขณะนี้อยู่ในความดูแลของทางการไทยที่ จ.สตูล เพื่อคัดแยกและสอบสวน
  • ผู้สูญหาย ตัวเลขยังไม่นิ่ง แต่คาดว่าประมาณ 45 คน ซึ่งโอกาสรอดชีวิตในทะเลเปิดเริ่มริบหรี่

พลเรือโท จากศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ของไทย กล่าวว่า “เรากำลังทุ่มเททรัพยากรเต็มที่ในการค้นหา โดยประสานงานกับสำนักงานบังคับใช้กฎหมายทางทะเลของมาเลเซีย (MMEA) แต่อุปสรรคคือกระแสน้ำที่เชี่ยว ซึ่งอาจพัดพาผู้สูญหายออกไปไกล”

ความท้าทายในทันทีคือการค้นหาผู้รอดชีวิต แต่คำถามที่ใหญ่กว่านั้นคือ พวกเขามาจากไหน และกำลังจะไปที่ไหน?

‘ฤดูล่องเรือมรณะ’ 2025 ทำไมต้องเป็นตอนนี้?

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดขึ้นตาม “ปฏิทินแห่งความสิ้นหวัง” ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายนของทุกปี คือช่วงเวลาที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ในทะเลอันดามันและอ่าวเบงกอลสงบลง ทะเลที่เรียบขึ้นเอื้ออำนวยต่อการเดินทางด้วยเรือขนาดเล็ก นี่คือช่วงเวลาที่ขบวนการค้ามนุษย์เริ่มดำเนินการขนย้าย “สินค้า”

สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้ออกรายงานเตือนตั้งแต่เดือนตุลาคม 2025 ว่า

  • สถิติที่น่ากังวล ในปี 2024 มีชาวโรฮีนจาพยายามข้ามทะเลอันดามันเพิ่มขึ้น 150% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
  • อัตราการเสียชีวิต UNHCR ประเมินว่าอย่างน้อย 1 ใน 15 ของผู้ที่พยายามข้ามทะเล จะเสียชีวิตหรือสูญหายระหว่างทาง
  • ปัจจัยเร่ง สถานการณ์ในค่ายผู้ลี้ภัยที่ค็อกซ์บาซาร์ (Cox’s Bazar) ประเทศบังกลาเทศ เลวร้ายลง ทั้งความไม่ปลอดภัย การขาดแคลนอาหาร และการคุกคามจากกลุ่มติดอาวุธภายในค่าย

“ทุกๆ ปีเมื่อทะเลสงบ เราจะเริ่มเห็นเรือออกเดินทาง” ผู้ประสานงานอาวุโสจาก Fortify Rights องค์กร NGO ที่ติดตามสถานการณ์ ให้ความเห็นกับ Al Jazeera “เรือที่ล่มวันนี้คือลำแรกๆ ของฤดูกาลนี้ และน่าเศร้าที่มันจะไม่ใช่ลำสุดท้าย”

Rescuers searching for missing migrants after boat sinks off Malaysia  recover 5 more bodies

ต้นตอที่ยังไม่ถูกแก้ วิกฤตเมียนมาร์และค่ายในบังกลาเทศ

สถานการณ์ผู้อพยพโรฮีนจา ไม่ใช่ปัญหาการย้ายถิ่นฐาน แต่เป็นวิกฤตผู้ลี้ภัยที่เกิดจาก “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” และการเมืองที่ล้มเหลว

  1. เมียนมาร์ (ต้นทาง) หลังการรัฐประหารปี 2021 สถานการณ์ในรัฐยะไข่ยิ่งเลวร้าย ชาวโรฮีนจาที่เหลืออยู่ถูกควบคุมใน “ค่ายกักกัน” ที่ไม่มีสิทธิ์ขั้นพื้นฐานใดๆ รัฐบาลทหารเมียนมาร์ยังคงปฏิเสธการให้สัญชาติ และใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือในความขัดแย้ง
  2. บังกลาเทศ (ทางผ่าน) แม้จะให้ที่พักพิงแก่ชาวโรฮีนจาเกือบ 1 ล้านคน แต่ค่ายที่ค็อกซ์บาซาร์ก็แออัดยัดเยียดและอันตราย รัฐบาลบังกลาเทศเริ่มใช้นโยบายที่แข็งกร้าวขึ้น จำกัดการศึกษาและการเคลื่อนไหว เพื่อกดดันให้พวกเขากลับ แต่ไม่มีใครกล้ากลับไปตาย

ความสิ้นหวังสองด้านนี้คือ “ปัจจัยผลักดัน” (Push Factors) ที่ทรงพลังที่สุด มันบีบให้ผู้คนยอมจ่ายเงินก้อนสุดท้ายให้กับนายหน้าค้ามนุษย์ เพื่อเสี่ยงชีวิตในทะเล ดีกว่ารอความตายอย่างช้าๆ ในค่าย

การฟื้นคืนชีพของ ‘ขบวนการค้ามนุษย์’ ในทะเลอันดามัน

โศกนาฏกรรมครั้งนี้เผยให้เห็นว่า ขบวนการค้ามนุษย์ในทะเลอันดามัน ได้ฟื้นคืนชีพอย่างเต็มรูปแบบ และปรับเปลี่ยนยุทธวิธีหลังจากการปราบปรามครั้งใหญ่ในปี 2015

  • บทเรียนจากปี 2015 หลังจากการค้นพบ “สุสานหมู่” (Mass Graves) ที่ปาดังเบซาร์ (ฝั่งมาเลเซีย) และ อ.สะเดา (ฝั่งไทย) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์โรฮีนจา ทำให้ “เส้นทางทางบก” (Overland Route) ผ่านป่าเขาในภาคใต้ของไทย ถูกจับตามองและใช้การได้ยากขึ้น
  • การกลับมาของเส้นทางทะเล เมื่อทางบกถูกปิด ขบวนการค้ามนุษย์จึงหันกลับมาใช้ “เส้นทางทางทะเล” (Sea Route) อย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง
  • ยุทธวิธีใหม่ ขบวนการเหล่านี้ไม่ใช่การลักลอบพาเข้าเมืองแบบธรรมดา แต่เป็นองค์กรอาชญากรรมที่ซับซ้อน พวกเขาใช้ “เรือแม่” (Mother Ships) ลอยลำในน่านน้ำสากล และใช้เรือประมงขนาดเล็ก (แบบที่เพิ่งล่ม) ในการขนถ่ายคนเข้าใกล้ชายฝั่งไทยหรือมาเลเซีย เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ

ผู้รอดชีวิตที่ทางการไทยกำลังสอบสวน ให้การเบื้องต้นว่าพวกเขาถูกเรียกเก็บเงินราว 50,000 – 100,000 บาทต่อคน สำหรับการเดินทางที่ “รับประกัน” ว่าจะถึงมาเลเซีย

Death toll hits 27 after Rohingya migrant boat capsizes off Malaysia- Thailand

‘มันฝรั่งร้อน’ ในมือไทย-มาเลเซีย ภาวะกลืนไม่เข้า คายไม่ออก

สำหรับไทยและมาเลเซีย การมาถึงของเรือเหล่านี้คือ “มันฝรั่งร้อน” ที่ไม่มีใครอยากถือ

จุดยืนของมาเลเซีย (ปลายทางหลัก)

  • มาเลเซียเป็นประเทศมุสลิมและเป็นเป้าหมายหลักที่ชาวโรฮีนจาต้องการไป
  • อย่างไรก็ตาม มาเลเซียไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยปี 1951 ทำให้ผู้อพยพไม่มีสถานะทางกฎหมาย
  • ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กระแสต่อต้านผู้อพยพในมาเลเซียสูงขึ้น รัฐบาลใช้นโยบาย “ผลักดันกลับ” (Pushbacks) ที่เข้มงวดขึ้น และหน่วยงาน MMEA ก็เพิ่มการลาดตระเวนเพื่อป้องกันการขึ้นฝั่ง

จุดยืนของไทย (ทางผ่าน)

  • ประเทศไทยยังคงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดใน รายงานการค้ามนุษย์ (TIP Report) ของสหรัฐฯ (ปัจจุบันอยู่ที่ Tier 2)
  • รัฐบาลไทยจึงพยายามหลีกเลี่ยงการถูกกล่าวหาว่า “ผลักดัน” เรือที่กำลัง gặpอันตราย นโยบายทางการคือการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (เช่น อาหาร น้ำมัน) และ “ส่งต่อ” ออกจากน่านน้ำไทย
  • แต่ในทางปฏิบัติ นโยบายนี้ถูกวิจารณ์โดยกลุ่มสิทธิมนุษยชนว่าเป็นการ “ผลักดันอย่างนุ่มนวล” (Soft Pushback) ที่ไม่ได้แก้ปัญหา และการจับกุมผู้รอดชีวิตมักตามมาด้วยการดำเนินคดีข้อหา “หลบหนีเข้าเมือง”

โศกนาฏกรรมที่ พรมแดน ไทย-มาเลเซีย ครั้งนี้ เกิดขึ้นใน “สุญญากาศ” ทางนโยบาย ที่ทั้งสองประเทศต่างพยายามปัดความรับผิดชอบ

บทสรุป โศกนาฏกรรมที่ถูกเพิกเฉยโดยอาเซียน

เรือขนผู้อพยพล่ม ในวันนี้ คือความล้มเหลวที่เห็นเป็นรูปธรรมของทั้งภูมิภาคอาเซียน

“ฉันทามติ 5 ข้อ” (Five-Point Consensus) ของอาเซียนเกี่ยวกับเมียนมาร์ ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการหยุดยั้งความรุนแรง และไม่เคยแตะต้องปัญหาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจาเลยแม้แต่น้อย

ตราบใดที่ต้นตอของปัญหาในเมียนมาร์ยังไม่ถูกแก้ไข, ตราบใดที่ค่ายในบังกลาเทศยังสิ้นหวัง, และตราบใดที่อาเซียนยังไม่มี “กลไกร่วม” (Regional Mechanism) ในการค้นหาและให้ความช่วยเหลือผู้อพยพทางทะเล (แทนที่จะผลักไสกันไปมา)… ทะเลอันดามันก็จะยังคงเป็นสุสานสำหรับผู้แสวงหาอิสรภาพต่อไป

การเสียชีวิตของเด็กชาย 1 ศพ และอีก 45 ชีวิตที่สูญหายในวันนี้ คือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับความเพิกเฉยทางการเมือง และแน่นอนว่า นี่จะไม่ใช่เรือลำสุดท้ายของ “ฤดูล่องเรือมรณะ” ในปีนี้

แหล่งที่มาจาก : am2con