ฟิลิปปินส์เร่งอพยพหนี ไต้ฝุ่น “ฟงวอง” ขณะยอดตาย “คัลแมกี” พุ่ง 215 ศพ—บททดสอบขีดสุดของระบบรับมือภัยพิบัติ

ไต้ฝุ่น “ฟงวอง”

กรุงมะนิลา, ฟิลิปปินส์ – (13 พฤศจิกายน 2025) ประเทศฟิลิปปินส์กำลังเผชิญหน้ากับ “ฝันร้ายด้านมนุษยธรรม” ที่ซ้ำซ้อนและเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน (Compounding Humanitarian Crisis) ขณะที่หน่วยกู้ภัยยังคงเร่งค้นหาร่างผู้สูญหายจากซูเปอร์ไต้ฝุ่น “คัลแมกี” (ชื่อสากล Kalmaegi, ชื่อท้องถิ่น Ramon) ที่ถล่มเกาะลูซอนตอนเหนือเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดที่ได้รับการยืนยันโดยสภาการจัดการและลดความเสี่ยงภัยพิบัติแห่งชาติ (NDRRMC) ได้พุ่งสูงถึง 215 ศพแล้ว บัดนี้ ภัยคุกคามลูกใหม่ในชื่อ ไต้ฝุ่น “ฟงวอง” (ชื่อสากล Fong-Wong, ชื่อท้องถิ่น Sarah) กำลังก่อตัวและมุ่งหน้าตรงเข้าสู่พื้นที่ประสบภัยเดิมที่ยังชุ่มน้ำและบอบช้ำ

สถานการณ์ “พายุซ้อนพายุ” นี้ ไม่เพียงแต่บีบให้รัฐบาลต้องตัดสินใจที่ยากลำบากในการ “หยุดภารกิจกู้ภัย” เพื่อหันมา “อพยพเชิงป้องกัน” แต่ยังเผยให้เห็นถึงความเปราะบางขีดสุดของประเทศที่ตั้งอยู่บน “วงแหวนไฟ” และ “ถนนสายไต้ฝุ่น” ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ภัยพิบัติรุนแรงขึ้นและคาดเดาได้ยากขึ้น บทความนี้จะวิเคราะห์เชิงลึกว่า เหตุใดวิกฤตครั้งนี้จึงแตกต่าง และมันกำลังท้าทายขีดความสามารถในการรับมือภัยพิบัติของฟิลิปปินส์และประชาคมโลกอย่างไร

Philippines braces for Typhoon Fung-wong after earlier storm kills over 200

สถานการณ์ล่าสุด “คัลแมกี” ทิ้งซาก และ “ฟงวอง” จ่อซ้ำเติม

เพื่อทำความเข้าใจความรุนแรงของวิกฤตในปัจจุบัน เราต้องมองย้อนกลับไปเพียง 7 วัน

ซูเปอร์ไต้ฝุ่น “คัลแมกี” (Ramon) แผลเป็นที่ยังสดใหม่

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2025 ซูเปอร์ไต้ฝุ่น “คัลแมกี” ได้ทวีความรุนแรงอย่างรวดเร็ว (Rapid Intensification) จากพายุโซนร้อนกลายเป็นซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง ก่อนจะพัดขึ้นฝั่งที่จังหวัดคากายัน (Cagayan) เกาะลูซอนตอนเหนือ ความหายนะไม่ได้มาจากแรงลมเพียงอย่างเดียว แต่มาจาก “การหยุดนิ่ง” ของพายุ (Stalling) ที่ทำให้เกิดปริมาณฝนสะสมมหาศาลกว่า 700 มิลลิเมตรในบางพื้นที่

  • ดินถล่มมรณะ ในพื้นที่ภูเขาอย่างจังหวัดเบงเก็ต (Benguet) และนูเอวา วิซคายา (Nueva Vizcaya) ดินที่อุ้มน้ำจนชุ่มได้ถล่มลงมาทับหมู่บ้านหลายแห่งทั้งหมู่บ้าน นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงจากหลักสิบเป็น 215 ศพ และยังมีผู้สูญหายอีกกว่า 120 คน
  • อัมพาตทางโครงสร้างพื้นฐาน สะพานหลัก 38 แห่ง และถนนกว่า 70 สายยังคงถูกตัดขาด ทำให้การส่งความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ห่างไกลเป็นไปอย่างยากลำบาก
  • สถานะภัยพิบัติ ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ได้ประกาศ “ภาวะภัยพิบัติแห่งชาติ” (State of Calamity) ใน 6 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณช่วยเหลือ

ไต้ฝุ่น “ฟงวอง” (Sarah) ภัยคุกคามที่กำลังเคลื่อนตัว

ขณะที่ปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัย (Search and Rescue – SAR) ดำเนินไปอย่างสิ้นหวัง สำนักงานบริหารบรรยากาศ ธรณีฟิสิกส์ และดาราศาสตร์แห่งฟิลิปปินส์ (PAGASA) ได้ออกประกาศเตือนภัยฉบับล่าสุดเมื่อเช้าวันนี้ (13 พฤศจิกายน)

ไต้ฝุ่น “ฟงวอง” ได้ทวีกำลังขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 2 แล้ว และกำลังเคลื่อนตัวในทะเลฟิลิปปินส์ โดยคาดว่าจะขึ้นฝั่งในวันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายนนี้

“สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ เส้นทางไต้ฝุ่น “ฟงวอง” ล่าสุด ชี้เป้าไปที่จุดเดิม” โฆษกของ PAGASA กล่าวในแถลงการณ์ฉุกเฉิน “พื้นที่อย่างคากายันและอิซาเบลา (Isabela) ซึ่งดินยังคงอิ่มตัวจาก ‘คัลแมกี’ แค่ฝนระดับปานกลางจาก ‘ฟงวอง’ ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มระลอกใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิม”

ขณะนี้ PAGASA ได้ประกาศเตือนภัยพายุ (Tropical Cyclone Wind Signal) ระดับ 1 ในหลายจังหวัดภาคตะวันออกแล้ว

‘ฝันร้ายของนักโลจิสติกส์’ เมื่อการกู้ภัยชนกับการอพยพ

วิกฤตที่แท้จริงของฟิลิปปินส์ใน 72 ชั่วโมงข้างหน้านี้ คือการปะทะกันของสองภารกิจที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง

  1. การยุติภารกิจค้นหาผู้รอดชีวิต (The Impossible Choice) โฆษกของ NDRRMC ยอมรับอย่างเจ็บปวดว่า กองทัพและหน่วยกู้ภัยจำเป็นต้อง “เปลี่ยนโหมด” จากการค้นหาผู้รอดชีวิตใต้ซากปรักหักพังของ “คัลแมกี” ไปสู่ “การอพยพเชิงป้องกัน” (Pre-emptive Evacuation) สำหรับ “ฟงวอง”

“นี่คือการตัดสินใจที่บีบคั้นหัวใจที่สุด” นายพลอาวุโสผู้บัญชาการเหตุการณ์กล่าวกับสื่อท้องถิ่น “เรามี ‘หน้าต่างทองคำ’ (Golden Window) 48 ชั่วโมงสุดท้ายในการค้นหาผู้รอดชีวิต แต่เราก็มี ‘หน้าต่างวิกฤต’ (Crisis Window) 48 ชั่วโมงก่อนที่ ‘ฟงวอง’ จะมาถึง เราต้องเลือกระหว่างความหวังที่จะช่วยชีวิตคนใต้ซาก กับความจริงที่ต้องปกป้องชีวิตคนที่ยังอยู่”

  1. โลจิสติกส์ที่ล่มสลาย (Logistical Collapse) การรับมือพายุลูกเดียวก็นับว่ายากลำบาก แต่ ฟิลิปปินส์รับมือพายุซ้อน คือสถานการณ์ที่เกินขีดความสามารถ
  • ถนนเส้นเดียว ถนนสายหลักที่หน่วยกู้ภัยใช้ลำเลียงเครื่องจักรหนักเข้าไปเคลียร์ดินถล่มจาก “คัลแมกี” คือถนนเส้นเดียวกับที่ประชาชนต้องใช้อพยพหนี “ฟงวอง”
  • ศูนย์พักพิงที่เต็มแล้ว ศูนย์อพยพ (Evacuation Centers) เช่น โรงเรียนและโรงยิมในท้องถิ่น ยังคงเต็มไปด้วยผู้ประสบภัยจาก “คัลแมกี” หลายแสนคน คำถามคือ จะอพยพคนใหม่ไปไว้ที่ไหน? และจะทำอย่างไรกับผู้ประสบภัยเดิมที่บาดเจ็บและอ่อนล้า?
  • ดินที่พร้อมถล่ม ทีมวิศวกรและนักธรณีวิทยาที่กำลังประเมินความเสี่ยงดินถล่มจาก “คัลแมกี” ถูกบังคับให้ถอนตัว เพราะการอยู่ในพื้นที่นั้นเสี่ยงเกินไปเมื่อ “ฟงวอง” เข้ามา

“เรากำลังส่งเสบียงอาหารให้เหยื่อ ‘คัลแมกี’ ด้วยเฮลิคอปเตอร์ เพราะสะพานขาด” ผู้ประสานงานของสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (IFRC) กล่าว “แต่ ‘ฟงวอง’ กำลังจะทำให้เฮลิคอปเตอร์บินไม่ได้ เรากำลังแข่งกับเวลาที่เหลือน้อยเต็มที”

Ravaging Typhoon Kalmaegi kills nearly 200 in Vietnam, Philippines | Daily  Sabah

ภาวะโลกเดือด นี่ไม่ใช่ ‘โชคร้าย’ แต่คือ ‘อนาคต’

นักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศต่างชี้ตรงกันว่า สถานการณ์ “พายุซ้อน” ในฟิลิปปินส์ครั้งนี้ ไม่ใช่ความโชคร้ายทางสถิติ แต่เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของ “New Normal” ที่เกิดจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

รายงานล่าสุดจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) และองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ยืนยันว่า

  1. อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดไต้ฝุ่น มีอุณหภูมิผิวหน้าน้ำสูงกว่าค่าเฉลี่ย 1.5-2.0 องศาเซลเซียส นี่คือ “เชื้อเพลิงชั้นดี” ที่ทำให้พายุทวีกำลังรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว (Rapid Intensification) ดังเช่นที่เกิดกับ “คัลแมกี”
  2. พายุที่เคลื่อนตัวช้าลง (Slowing Storms) ปรากฏการณ์ที่พายุ “หยุดนิ่ง” หรือเคลื่อนตัวช้าลง ทำให้พื้นที่เดียวต้องรับปริมาณฝนติดต่อกันนานหลายวัน (ดังเช่นที่ “คัลแมกี” ทำ) กำลังเกิดขึ้นบ่อยครั้งทั่วโลก
  3. ฤดูพายุที่ยาวนานขึ้น ฤดูไต้ฝุ่นที่เคยมีจุดสูงสุดชัดเจน บัดนี้ขยายยาวนานขึ้น ทำให้โอกาสที่จะเกิดพายุรุนแรงในช่วงปลายปียังคงมีอยู่สูง

“ฟิลิปปินส์ได้รับผลกระทบอย่างไม่เป็นธรรม” ดร. เบนจามิน เค. ฮอร์ตัน ผู้อำนวยการหอดูดาวโลกแห่งสิงคโปร์ (EOS) ให้ความเห็น “พวกเขามีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยมาก แต่พวกเขากำลังอยู่แนวหน้า รับมือกับผลกระทบที่เลวร้ายที่สุด”

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ เมื่อ ‘อู่ข้าวอู่น้ำ’ ถูกทำลายซ้ำสอง

นอกเหนือจากโศกนาฏกรรมด้านชีวิต วิกฤตด้านมนุษยธรรม ครั้งนี้ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและอาหารของประเทศ

ภูมิภาคที่ “คัลแมกี” ถล่ม และ “ฟงวอง” กำลังมุ่งหน้าไป คือ “อู่ข้าวอู่น้ำ” (Rice Bowl) ของฟิลิปปินส์ หุบเขาคากายัน (Cagayan Valley) คือแหล่งผลิตข้าวและข้าวโพดที่สำคัญที่สุดของประเทศ

  • ความเสียหายรอบแรก กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ประเมินความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรจาก “คัลแมกี” ไว้แล้วกว่า 5.8 พันล้านเปโซ (ประมาณ 104 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
  • ความเสียหายรอบสอง “ฟงวอง” ที่กำลังจะมาถึง จะทำลายข้าวนาปีที่รอดชีวิต หรือที่กำลังรอการเก็บเกี่ยวจนหมดสิ้น
  • ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน คาดการณ์ว่าราคาข้าวในกรุงมะนิลาจะพุ่งสูงขึ้นอย่างน้อย 15-20% ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อและค่าครองชีพของประชาชนทั้งประเทศ

Vietnam braces for Typhoon Kalmaegi after storm's deadly path through the  Philippines | WBAL Baltimore News

บทสรุป การต่อสู้กับเวลา และการเรียกร้องความช่วยเหลือระดับโลก

สถานการณ์ในอีก 48 ชั่วโมงข้างหน้าจะเป็นตัวชี้วัดอนาคตของฟิลิปปินส์ รัฐบาลกำลังทุ่มสรรพกำลังทั้งหมด ทั้งทหาร ตำรวจ และอาสาสมัครพลเรือน เพื่ออพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงสูงกว่า 1.2 ล้านคน ไปยังที่ปลอดภัยก่อนที่ ไต้ฝุ่น “ฟงวอง” จะมาถึง

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือฉุกเฉินไปยังประชาคมระหว่างประเทศแล้ว ทั้งสหประชาชาติ (ผ่าน OCHA), สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย และกลุ่มประเทศอาเซียน

วิกฤต “คัลแมกี-ฟงวอง” ปี 2025 นี้ คือบทพิสูจน์ที่เจ็บปวดว่า ระบบการจัดการภัยพิบัติแบบเดิมที่เน้น “การตอบสนอง” (Response) ต่อเหตุการณ์เดียว ไม่เพียงพออีกต่อไป โลกจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่ “การสร้างความยืดหยุ่น” (Resilience) ต่อวิกฤตที่ซ้ำซ้อนและต่อเนื่อง ซึ่งสำหรับประชาชนในเกาะลูซอนในขณะนี้ อนาคตนั้นได้เดินทางมาถึงแล้ว และมันกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาด้วยความเร็ว 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

แหล่งที่มาจาก : am2con