ไม่ใช่แค่ตลาดกระทิง แต่คือ “การลงมติไม่ไว้วางใจ” ครั้งใหญ่ ถอดรหัสราคาทองคำทะลุ $4,000 ที่สะท้อนความกลัวของโลก

ราคาทองคำวันนี้

ราคาทองคำวันนี้ ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในตลาดการเงินโลก ด้วยการพุ่งทะยานผ่านแนวต้านทางจิตวิทยาที่สำคัญที่ระดับ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์เป็นครั้งแรก ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นและตื่นตระหนกทั่วโลก การทุบสถิติสูงสุดตลอดกาล (All-Time High) ครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงปรากฏการณ์ปกติของตลาดกระทิง แต่บรรดานักวิเคราะห์ชั้นนำมองว่ามันคือ “การลงมติไม่ไว้วางใจ” (Vote of No Confidence) ครั้งใหญ่ต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โลก มันคือภาพสะท้อนที่ชัดเจนของ “พายุที่สมบูรณ์แบบ” ซึ่งเกิดจากการบรรจบกันของความกลัวภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะงักงันแต่เงินเฟ้อสูง) ในชาติตะวันตก, ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง และที่สำคัญที่สุดคือการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ของ ธนาคารกลางทั่วโลก ที่กำลังเร่งลดการพึ่งพิงเงินดอลลาร์สหรัฐอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

Gold prices reach record high! Yellow metal surpasses $4,000 levels; what's  driving the rally? - The Times of India

ราคาทองคำวันนี้ ถอดรหัส “พายุที่สมบูรณ์แบบ” 3 ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนทองคำสู่สถิติใหม่

ทำไมราคาทองคำถึงพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์? การทะยานขึ้นอย่างรุนแรงของราคาทองคำในครั้งนี้ ไม่ได้มาจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง แต่เกิดจากการประสานกำลังกันของ 3 แรงขับเคลื่อนหลักที่ทรงพลัง ซึ่งเปลี่ยนสถานะของทองคำจากแค่ทางเลือกในการลงทุน ให้กลายเป็น “ความจำเป็น” ในพอร์ตโฟลิโอของนักลงทุนและธนาคารกลาง

  1. ความกลัว “Stagflation” และทางตันของธนาคารกลางสหรัฐฯ
  • เศรษฐกิจที่เปราะบาง ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐอเมริกาและยุโรปบ่งชี้ถึงการชะลอตัวที่ชัดเจนกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจำเป็นต้องชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือแม้กระทั่งพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้เพื่อประคองเศรษฐกิจ
  • เงินเฟ้อที่ฝังรากลึก ในขณะเดียวกัน อัตรา เงินเฟ้อ แม้จะลดลงจากจุดสูงสุด แต่ยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าเป้าหมาย 2% อย่างมีนัยสำคัญ และดูเหมือนจะมีความ “เหนียว” มากกว่าที่คาดการณ์ไว้
  • ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สถานการณ์นี้สร้างภาวะที่เรียกว่า Stagflation ซึ่งเป็นฝันร้ายของธนาคารกลาง เพราะการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะยิ่งทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น แต่การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อก็จะทำให้เกิดภาวะ เศรษฐกิจโลกถดถอย รุนแรงขึ้น ในสภาวะที่นโยบายการเงินเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและอัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real Yield) ติดลบ ทองคำซึ่งเป็น สินทรัพย์ปลอดภัย ที่ไม่ขึ้นกับอัตราดอกเบี้ยและเป็นเครื่องมือป้องกันความเสื่อมค่าของเงินตรา จึงกลายเป็นที่หลบภัยที่น่าดึงดูดใจที่สุด
  1. ไฟแห่งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่คุกรุ่น
  • ความเชื่อมั่นของนักลงทุนถูกกัดกร่อนอย่างต่อเนื่องจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในหลายจุดทั่วโลก ทั้งความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในยูเครน, สถานการณ์ที่เปราะบางในตะวันออกกลาง และที่สำคัญคือการเผชิญหน้าครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐฯ และจีนในประเด็นไต้หวันและสงครามการค้าที่กลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง ในยามที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและมีความเสี่ยงที่ความขัดแย้งจะบานปลายได้ทุกเมื่อ ทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่จับต้องได้และมีมูลค่าในตัวเองทั่วโลก จึงทำหน้าที่เป็น “กรมธรรม์ประกันภัย” จากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์
  1. การตื่นทองครั้งประวัติศาสตร์ของธนาคารกลาง (The Great Central Bank Gold Rush)
  • นี่คือปัจจัยใหม่ที่ทรงพลังและเปลี่ยนเกมการลงทุนในทองคำไปอย่างสิ้นเชิง รายงานล่าสุดจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) ยืนยันว่า ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศนอกโลกตะวันตก (นำโดยจีน, รัสเซีย, อินเดีย, ตุรกี และบราซิล) ได้เข้าซื้อทองคำสุทธิในปริมาณมหาศาล ทำลายสถิติเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง
  • การกระทำดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “De-Dollarization” หรือการลดการพึ่งพิงเงิน ดอลลาร์สหรัฐ อย่างเป็นระบบ

Gold price hits record high, topping $US4,000 an ounce for first time, amid  US shutdown and lower interest rates - ABC News

“De-Dollarization” เมื่อโลกไม่ต้องการใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าของอเมริกา

การเคลื่อนไหวของธนาคารกลางไม่ใช่การลงทุนเพื่อเก็งกำไร แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่มีนัยสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ การที่สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกใช้ระบบการเงินที่ผูกกับเงินดอลลาร์เป็น “อาวุธ” ในการคว่ำบาตรรัสเซีย ได้ปลุกให้หลายประเทศตื่นขึ้นและตระหนักถึงความเสี่ยงของการที่ทุนสำรองระหว่างประเทศส่วนใหญ่ของตนอยู่ในรูปของเงินดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

การถือครองทองคำกายภาพไว้ในห้องมั่นคงของตนเอง จึงเป็นวิธีการ “ประกัน” สินทรัพย์ของชาติจากมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินในอนาคต และเป็นการกระจายความเสี่ยงจากค่าเงินดอลลาร์ที่อาจอ่อนค่าลงในระยะยาว การที่ผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดในตลาด (ธนาคารกลาง) เปลี่ยนจากผู้ขายมาเป็นผู้ซื้อสุทธิรายใหญ่ และมีความต้องการที่ไม่จำกัดเพื่อเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ ได้สร้าง “อุปสงค์พื้นฐาน” (Base Demand) ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง และเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำสามารถทะลุแนวต้านสำคัญขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง

นักลงทุนรายย่อย ระหว่างความกลัวพลาดโอกาส (FOMO) กับความเสี่ยงบนยอดดอย

การพุ่งทะยานของราคาทองคำได้จุดกระแสความสนใจในหมู่นักลงทุนรายย่อยทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คำถามที่ทุกคนถามคือ ควรซื้อทองคำตอนนี้หรือไม่?

  • แรงขับจาก FOMO (Fear of Missing Out) ภาพข่าวราคาทองคำที่ทำสถิติใหม่ทุกวัน กระตุ้นให้นักลงทุนรายย่อยที่ “ตกรถ” เกิดความกลัวว่าจะพลาดโอกาสครั้งใหญ่ และแห่กันเข้ามาลงทุนผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งกองทุน ETF ทองคำ, การซื้อทองคำแท่งและรูปพรรณ และการลงทุนในหุ้นเหมืองทองคำ ซึ่งยิ่งเป็นแรงเสริมให้ราคาสูงขึ้นไปอีก
  • เสียงเตือนจากผู้มีประสบการณ์ ในขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์สายอนุรักษนิยมต่างออกมาเตือนถึงความเสี่ยงของการไล่ราคาบน “ยอดดอย” โดยชี้ว่าตลาดทองคำมีความผันผวนสูง และอาจเกิดการปรับฐานอย่างรุนแรง (Sharp Correction) ได้หากปัจจัยหนุนบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป เช่น หากเฟดกลับมาใช้ยาแรงขึ้นดอกเบี้ยอย่างกะทันหัน หรือหากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์คลี่คลายลง

“ทองคำที่ราคา 4,000 ดอลลาร์ไม่เหมือนกับทองคำที่ 2,000 ดอลลาร์” นักวิเคราะห์จาก JPMorgan กล่าว “ในขณะที่แนวโน้มระยะยาวยังคงเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน แต่นักลงทุนที่เข้าซื้อ ณ จุดนี้ต้องเตรียมพร้อมสำหรับความผันผวนที่รุนแรงในระยะสั้น”

ผลกระทบในประเทศไทยและอนาคตของเงินบาท

สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดทองคำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การพุ่งขึ้นของราคาทองคำโลกส่งผลกระทบโดยตรงและชัดเจน

  • ราคาทองในประเทศพุ่งทำสถิติ ราคาทองคำแท่งในประเทศที่อ้างอิงกับสกุลเงินบาทได้พุ่งทะยานทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ สร้างผลกำไรมหาศาลให้กับผู้ที่ถือครองทองคำไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้การซื้อทองคำเพื่อเป็นสินทรัพย์หรือของขวัญกลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้นสำหรับคนทั่วไป
  • แรงกดดันต่อค่าเงินบาท ปัจจัยที่หนุนให้ราคาทองคำสูงขึ้น เช่น แนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ก็เป็นปัจจัยเดียวกันที่สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคเช่นกัน

Gold price crosses $4,000 for the first time in history, experts issue  warning over possible 'uptrend exhaustion' | Hindustan Times

บทสรุป ทองคำไม่ใช่แค่โลหะมีค่า แต่คือ “มาตรวัดความกลัว” ของโลก

ราคาทองคำวันนี้ แนวโน้มราคาทองคำ ในอนาคตจะเป็นอย่างไร? แม้จะไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ แต่สิ่งที่ชัดเจนคือการทะลุระดับ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐในครั้งนี้ เป็นมากกว่าตัวเลขทางสถิติ มันคือการยืนยันบทบาทอันเก่าแก่ของทองคำในฐานะ “มาตรวัดความกลัวและความไม่ไว้วางใจ” ของมนุษยชาติ

ราคาทองคำที่สูงเป็นประวัติการณ์คือภาพสะท้อนของโลกที่กำลังป่วยไข้ด้วยโรคแห่งความไม่แน่นอน ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง แม้ในระยะสั้นอาจมีการปรับฐาน แต่ตราบใดที่ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งปัญหาหนี้สินโลก, การแบ่งขั้วทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเสื่อมถอยของความเชื่อมั่นในเงินกระดาษ (Fiat Currency) ทองคำก็จะยังคงทำหน้าที่เป็น “หลุมหลบภัยสุดท้าย” และมีแนวโน้มที่จะรักษามูลค่าในระดับสูงต่อไปในระยะยาว ยุคของทองคำราคา 2,000 ดอลลาร์อาจได้กลายเป็นอดีตไปแล้วอย่างถาวร

แหล่งที่มาจาก : am2con

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *