ปฏิบัติการกู้ภัยเอเวอเรสต์ หลังจากการรอคอยอย่างใจจดใจจ่อมานานกว่า 48 ชั่วโมง ในที่สุดโลกก็ได้รับข่าวดีจากเทือกเขาหิมาลัย เมื่อทางการจีนได้ประกาศความสำเร็จของ ปฏิบัติการกู้ภัยเอเวอเรสต์ ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยสามารถช่วยเหลือผู้ที่ติดค้างจากเหตุการณ์ พายุหิมะถล่มเอเวอเรสต์ เกือบ 1,000 ชีวิต ลงมาสู่พื้นที่ปลอดภัยได้ครบทุกคน ถือเป็นการปิดฉากวิกฤตการณ์ที่เกือบจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ทว่า ความสำเร็จอันน่าทึ่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวแห่งชัยชนะของมนุษย์เหนือธรรมชาติ แต่มันยังเป็น “กรณีศึกษา” ครั้งสำคัญที่เผยให้เห็นถึงศักยภาพในการจัดการวิกฤตที่น่าเกรงขามของจีน และในขณะเดียวกันก็เป็น “คำเตือน” ที่ชัดเจนและเจ็บปวดถึง อนาคตการปีนเขาเอเวอเรสต์ ในยุคที่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำลังทำให้ “หลังคาโลก” กลายเป็นสถานที่ที่อันตรายและคาดเดาไม่ได้มากยิ่งขึ้น บทสรุปของวิกฤตการณ์ครั้งนี้จึงไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการทบทวนครั้งใหญ่ในทุกมิติ
ปฏิบัติการกู้ภัยเอเวอเรสต์ ถอดรหัสปฏิบัติการ “มังกรพิชิตยอดเขา” จีนช่วยคนเกือบพันชีวิตได้อย่างไร
ปฏิบัติการกู้ภัยบนเขาเอเวอเรสต์สำเร็จได้อย่างไร? คำตอบอยู่ที่การผสมผสานระหว่างการวางแผนที่ยอดเยี่ยม, เทคโนโลยีที่ทันสมัย, และการสั่งการแบบรวมศูนย์ที่เด็ดขาด ซึ่งเป็นจุดเด่นของระบบรัฐบาลจีน ปฏิบัติการครั้งนี้ถูกควบคุมโดย สมาคมการปีนเขาจีน-ทิเบต (CTMA) โดยแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักที่ทำงานประสานกันอย่างลงตัว
- ปฏิบัติการทางอากาศ “หน้าต่างแห่งความหวัง” (Air Operation – “Window of Hope”)
- ความท้าทาย การบินเฮลิคอปเตอร์ในระดับความสูงของ เบสแคมป์ฝั่งเหนือ (5,150 เมตร) ซึ่งมีอากาศเบาบางและสภาพอากาศแปรปรวน ถือเป็นภารกิจที่อันตรายอย่างยิ่งยวด
- การปฏิบัติงาน ทีมนักบินชั้นยอดของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLAAF) ได้ใช้เฮลิคอปเตอร์ Z-20 ที่ดัดแปลงมาเพื่อปฏิบัติการบนที่สูงโดยเฉพาะ รอจังหวะที่พายุสงบลงชั่วครู่ซึ่งเป็น “หน้าต่างสภาพอากาศ” ที่เปิดเพียงไม่กี่ชั่วโมง เพื่อบินขึ้นไปลำเลียงผู้ป่วยหนัก, ผู้ที่มีอาการป่วยเหตุสูงรุนแรง (AMS) และนักท่องเที่ยวที่ไม่มีประสบการณ์ลงมาก่อน
- ปฏิบัติการภาคพื้นดิน “เส้นทางชีวิต” (Ground Operation – “Lifeline Route”)
- หัวใจของภารกิจ เนื่องจากเฮลิคอปเตอร์ไม่สามารถลำเลียงคนจำนวนมากได้ในเวลาจำกัด ภารกิจหลักจึงตกเป็นของทีมกู้ภัยภาคพื้นดิน
- การปฏิบัติงาน ทีมกู้ภัยมืออาชีพชาวจีนและ ไกด์ชาวทิเบต ที่มีความแข็งแกร่งและคุ้นเคยกับสภาพภูมิประเทศเป็นอย่างดี ได้เดินเท้าฝ่าพายุหิมะขึ้นไปยังเบสแคมป์ เพื่อประเมินสถานการณ์, ให้การปฐมพยาบาล, แจกจ่ายอาหารและออกซิเจน และที่สำคัญที่สุดคือการจัดระเบียบและนำทางผู้ที่แข็งแรงพอจะเดินไหวลงมาเป็นกลุ่มๆ ตามเส้นทางที่ปลอดภัยซึ่งทีมล่วงหน้าได้ทำการเคลียร์และวางเชือกนำทางไว้แล้ว
จีนแสดงศักยภาพอะไรในการกู้ภัยครั้งนี้? คำตอบคือ ความสามารถในการระดมทรัพยากรขนาดมหึมาและความเป็นเอกภาพในการสั่งการ ซึ่งแตกต่างจากการกู้ภัยในฝั่งเนปาลที่มักพึ่งพาบริษัทเอกชนเป็นหลัก
ชัยชนะทางการทูตและ Soft Power เมื่อการกู้ภัยคือเวทีแสดงแสนยานุภาพ
ความสำเร็จในการช่วยเหลือนักปีนเขาและนักท่องเที่ยวจากหลายสัญชาติ (มีรายงานว่าประกอบด้วยชาวอเมริกัน, ยุโรป, ญี่ปุ่น และอีกหลายชาติ) โดยไม่มีผู้เสียชีวิตแม้แต่รายเดียว ถือเป็นชัยชนะทางการประชาสัมพันธ์ (PR) ครั้งใหญ่ของรัฐบาลจีน
- การสร้างภาพลักษณ์ “ผู้พิทักษ์ที่รับผิดชอบ” ปฏิบัติการนี้ได้ตอกย้ำภาพลักษณ์ของจีนในฐานะผู้ควบคุมฝั่งทิเบตของเอเวอเรสต์ที่มีความสามารถและมีความรับผิดชอบสูง สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมการปีนเขาระหว่างประเทศ
- การแสดงศักยภาพทางเทคโนโลยีและโลจิสติกส์ การใช้เฮลิคอปเตอร์ที่ทันสมัย, ทีมกู้ภัยที่ถูกฝึกมาอย่างดี และการจัดการคนจำนวนเกือบพันคนในภาวะวิกฤต เป็นการแสดงแสนยานุภาพด้านการจัดการที่แม้แต่ชาติตะวันตกยังต้องจับตามอง
- นัยทางภูมิรัฐศาสตร์หิมาลัย ในขณะที่เนปาลกำลังเผชิญกับปัญหาการท่องเที่ยวล้นทะลักและความปลอดภัย การจัดการที่ “เด็ดขาดและเป็นระบบ” ของจีนในครั้งนี้ อาจดึงดูดให้นักปีนเขาและบริษัททัวร์หันมาเลือกใช้เส้นทางฝั่งทิเบตมากขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นการเสริมสร้างอิทธิพลของจีนในภูมิภาคนี้ไปโดยปริยาย
“เราโชคดีอย่างไม่น่าเชื่อ” เสียงจากผู้รอดชีวิตและบทเรียนที่แลกมาด้วยความกลัว
ขณะที่ผู้รอดชีวิตถูกลำเลียงมายังที่ปลอดภัยในเมืองซิกัตเซ (Shigatse) เรื่องราวแห่งความหวาดกลัวและความประทับใจก็ได้เริ่มถูกบอกเล่า
“ทุกอย่างขาวโพลนไปหมด เสียงลมเหมือนปีศาจคำราม เต็นท์ของเราพังลงมา เราคิดว่าไม่รอดแล้ว” เอมิลี่, นักปีนเขาชาวแคนาดาให้สัมภาษณ์กับ AP “ตอนที่ทีมกู้ภัยจีนชุดแรกมาถึง พวกเขาเหมือนทูตสวรรค์ การจัดการของพวกเขาสุดยอดมาก พวกเขาจัดลำดับความสำคัญ, ตรวจร่างกายทุกคน และนำทางเราลงมาอย่างใจเย็น มันคือความเป็นมืออาชีพท่ามกลางความโกลาหล”
สำหรับผู้รอดชีวิต บทเรียนที่สำคัญที่สุดจากวิกฤตเอเวอเรสต์ครั้งนี้คืออะไร? คือความตระหนักว่าธรรมชาติยิ่งใหญ่และน่ากลัวกว่าที่พวกเขาเคยจินตนาการ และความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีพยากรณ์อากาศหรือประสบการณ์ส่วนตัวนั้นไม่เพียงพออีกต่อไปในโลกที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างสุดขั้ว
อนาคตของการปีนเขาเอเวอเรสต์ เมื่อ “หน้าต่างสภาพอากาศ” อาจไม่มีอยู่จริงอีกต่อไป
แม้ปฏิบัติการกู้ภัยจะจบลงด้วยดี แต่วิกฤตครั้งนี้ได้ทิ้งคำถามใหญ่ไว้ให้กับอนาคตของการปีนเขาบนยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก เหตุการณ์พายุหิมะจะส่งผลต่อการปีนเขาเอเวอเรสต์ในอนาคตอย่างไร? คำตอบคือมันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
- กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น เป็นที่คาดการณ์ว่า CTMA จะออกมาตรการที่เข้มงวดขึ้นอย่างแน่นอน อาจรวมถึง
- การจำกัดจำนวนใบอนุญาตที่ออกให้ในแต่ละฤดูกาล
- การกำหนดคุณสมบัติและประสบการณ์ของนักปีนเขาที่สูงขึ้น
- การบังคับให้อุปกรณ์ติดตามตัว (GPS) และโทรศัพท์ดาวเทียมเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
- การขึ้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเพื่อนำไปพัฒนาระบบเตือนภัยและโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัย
- การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม บริษัทประกันภัยจะขึ้นเบี้ยประกันสำหรับทริปเอเวอเรสต์อย่างมหาศาล บริษัททัวร์จะต้องลงทุนในไกด์ที่มีทักษะการกู้ภัยสูงขึ้นและอุปกรณ์ที่ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการปีนเอเวอเรสต์สูงขึ้นไปอีก
- การยอมรับความจริงใหม่ บทเรียนที่เจ็บปวดที่สุดคือ “หน้าต่างสภาพอากาศ” ที่เคยเป็นเหมือนตารางเวลาศักดิ์สิทธิ์ของนักปีนเขา บัดนี้ได้กลายเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้อีกต่อไป ความแปรปรวนของกระแสลมกรดที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หมายความว่าพายุรุนแรงสามารถก่อตัวขึ้นได้ทุกเมื่อโดยแทบไม่มีสัญญาณเตือน
บทสรุป รอดจากพายุหิมะ แต่ยังต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ร้อนขึ้น ความสำเร็จในการกู้ภัยจีน
ในวิกฤตเอเวอเรสต์ปี 2025 จะถูกจดจำไปอีกนานในฐานะปฏิบัติการที่น่าทึ่ง แต่เบื้องหลังเรื่องราวแห่งวีรกรรมคือความจริงที่น่าอึดอัด มันคือชัยชนะในการต่อสู้กับ “อาการ” แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ “ต้นเหตุ” ต้นเหตุนั้นคือโลกที่ร้อนขึ้น ซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของธรรมชาติในสถานที่ที่อันตรายที่สุดในโลก ปฏิบัติการกู้ภัยครั้งนี้จึงไม่ใช่บทสรุป แต่เป็นบทนำของยุคใหม่แห่งการปีนเขา ที่ซึ่งความท้าทายที่แท้จริงอาจไม่ใช่การพิชิตยอดเขาอีกต่อไป แต่คือการเอาชีวิตรอดจากความพิโรธของธรรมชาติที่มนุษย์เป็นผู้ปลดปล่อยออกมาเอง
แหล่งที่มาจาก : am2con